รีวิวเที่ยววังเวียง ไปเองง่าย ใช้งบไม่เยอะ
วังเวียง วันที่ 1 : เดินทางไปวังเวียง เดินเล่นในวังเวียง
ต่อจากตอนที่แล้ว –> รีวิวเที่ยวเวียงจันทน์ ไปเองง่าย ใช้งบไม่เยอะ รถสองแถวสีน้ำเงินในรูปด้านล่างมารับเราที่โรงแรมแล้วมาส่งยังจุดขึ้นรถ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับโรงแรม จุดขึ้นรถตรงนี้จะเป็นรถเสริม ส่วนรถประจำทางจะต้องไปขึ้นที่สถานีขนส่ง
ในรูปด้านล่างจะเป็นรถบัสไปวังเวียงราคาคนละ 40,000 กีบ (ประมาณ 160 บาท) เท่าที่ดูจากภายนอกก็น่าจะนั่งสบาย เป็นรถบัสแอร์ประมาณรถ ป.2 บ้านเรา สัมภาระกระเป๋าใบใหญ่สามารถขึ้นรถได้สบาย มีที่เก็บของ
ส่วนรถของเราเป็นรถตู้ VIP ราคา 70,000 กีบ ก็รอกันต่อไปรถยังไม่มา
ซักพักใหญ่ๆ มีคนมาบอกว่ารถแอร์เสียมารับไม่ได้ เลยส่งรถบัสมาวิ่งแทน สรุปแล้วจ่าย 70,000 กีบ แล้วต้องมานั่งรถ 40,000 กีบ โดยที่ไม่มีการคืนเงินส่วนต่าง ก็ได้แต่ทำใจว่าคงเป็นเหตุสุดวิสัย อะไรก็เอาเถอะ ขอให้นั่งสบาย ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย ถ้าใครจะไปวังเวียงแนะนำรถบัส 40,000 กีบนะครับ รถใหญ่ ปลอดภัย ประหยัดกว่าด้วย
ขึ้นรถมา เลือกที่นั่งตามสบายไม่ระบุหมายเลข ภายในรถเก่านิดหน่อย แอร์เย็น ที่นั่งกว้าง ไม่มีห้องน้ำ เนื่องจากว่าผู้โดยสารในรถคันนี้มีประมาณรถตู้ พอเปลี่ยนมาเป็นรถบัสที่นั่งก็เหลือเฟือ บางคนก็นั่งควบ 2 ที่นั่งเลย
ระยะทางจากเวียงจันทน์ ไป วังเวียง เป็นเส้นทางขึ้นไปทางเหนือของประเทศลาว มีระยะทางประมาณ 154 กิโลเมตร แต่ต้องใช้เวลาเดินทางถึง 4 ชั่วโมง เนื่องจากว่าถนนในประเทศลาวค่อนข้างเล็ก ส่วนมากเป็นเลนสวนกัน ทางโค้ง และบางช่วงก็ยังเป็นถนนลูกรังอยู่ทำให้ไม่สามารถทำเวลาได้เท่าไหร่ แนะนำว่าควรหาซื้อของกินเล่น อาหารว่าง แบบที่ไม่มีกลิ่นไปทานบนรถด้วย
10.16 น. ล้อหมุน ออกเดินทางสู่วังเวียง
เรานั่งชมวิวแบบกึ่งหลับกึ่งตื่น รถบัสแวะจอดพักกลางทางเวลา 12.26 น. เป็นร้านอาหารริมถนน สามารถลงมาเข้าห้องน้ำ หรือซื้อฮอทดอกทานรองท้องได้ อาหารที่ขายมีเพียงฮอทดอกอย่างเดียว ไม่มีข้าวหรือก๋วยเตี๋ยวเลย ถ้าไม่ทานที่นี่ก็ต้องรออีก 2 ชั่วโมงกว่าจะถึงวังเวียง
ฮอทดอก ราคา 10,000 กีบ หรือ 40 บาท สามารถซื้อด้วยเงินลาวหรือเงินไทยก็ได้ มีให้เลือก 6 ไส้ ชีส ทูน่า ไข่ เบคอน แฮม ไก่ ฮอทดอกจะใช้ขนมปังยาวเหมือนขนมปังฝรั่งเศส เนื้อแป้งแข็ง มีผัก แตงกวา มะเขือเทศ แครอทขูด ใส่มาให้ด้วยนิดหน่อย รสชาติพอทานได้ ถ้าจะทานให้อิ่มต้องทานซัก 2 อันขึ้นไป แต่ถ้าจะเอาแค่รองท้องอันเดียวก็พอ
ที่นั่งทานในร้าน
ทานเสร็จไปเข้าห้องน้ำมีค่าเข้า 1,000 กีบ ความสะอาดไม่ต้องคาดหวังมาก อยู่ในระดับห้องน้ำกลางทางที่รถทัวร์ชอบจอดในบ้านเรา
14.28 น. รถบัสมาถึงที่สถานีขนส่งวังเวียง จากนั้นจะต้องต่อรถมินิบัสเข้าไปยังตัวเมืองวังเวียง รถมินิบัสไม่เสียค่าบริการนะครับ
นั่งรถมินิบัสมาประมาณ 6 นาทีรถก็มาจอดที่รีสอร์ท Malany Villa ตอนนี้เราก็มาอยู่ใจกลางวังเวียงแล้ว แนะนำว่าให้ดูพิกัดของ Malany Villa ตำแหน่งที่รถจอดให้ดี ไม่งั้นจะเดินหาที่พักไม่ถูก หลงทิศทางไปหมด และอย่าคาดหวังว่าจะมีแจกแผนที่ฟรีเหมือนตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เพราะไม่มีแจกครับ
ทริปนี้เราพักที่โรงแรมซิลเวอร์ นากา (Silver Naga Hotel) เราเดินออกจากจุดจอดรถตรงไป แล้วเลี้ยวซ้าย รวมระยะทางประมาณ 400 เมตรก็ถึงโรงแรมแล้ว ที่วังเวียงมีที่พักดีๆ ราคาไม่แพงเยอะเลย อยู่ที่ว่าเราชอบบรรยากาศแบบไหน ริมน้ำ ในเมือง วิวสวย กระท่อม โรงแรม ฯลฯ แต่ถ้ายังไม่มีไอเดีย ลองดูตัวเลือกในนี้เลย 10 ที่พักวังเวียงยอดนิยม
สภาพในตัวเมืองวังเวียง คล้ายๆ ต่างจังหวัดบ้านเรา แอบคิดในใจว่าเมืองท่องเที่ยวทำไมช่างเงียบเหงาจัง
ถึงแล้วที่พักของเรา โรงแรมซิลเวอร์ นากา (Silver Naga Hotel) ทางเข้าโรงแรมอยู่ติดกับร้านซ่อมมอเตอร์ไซต์ หน้าโรงแรมมีป้ายเล็กๆ ติดอยู่ ถ้าไม่สังเกตก็คงไม่เห็น
ต้องเดินลงบันไดไปยัง Lobby
บริเวณล๊อบบี้ของโรงแรมค่อนข้างกว้าง มีที่นั่งอยู่หลายมุม พื้นโรงแรมสะอาดมากมีคนถูแล้ว ถูอีก ตลอดเวลา ขนาดชาวต่างชาติยังนึกว่าต้องถอดรองเท้าเลย
ข้อมูลโรงแรมซิลเวอร์ นากา (Silver Naga)
เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว อยู่ติดกับแม่น้ำซอง ใกล้โรงพยาบาลวังเวียง อยู่ใจกลางวังเวียง มีห้องพักทั้งหมด 57 ห้อง ตัวโรงแรมเป็นตึก 5 ชั้น แบ่งชนิดของห้องพักคร่าวๆ ดังนี้ Standard, Deluxe, Suite, Junior Suite และในแต่ละชนิดของห้องพักก็มีแบ่งย่อยไปอีก เช่นวิวสวน, ห้องมีระเบียง
เช็คอินโรงแรม
ทริปนี้ผมจองโรงแรมผ่าน agoda จองห้อง Standard ในราคาคืนละ 1,608 บาท ชอบ agoda ตรงที่มีแต้มสะสมเป็นส่วนลดในครั้งหน้าได้ และถ้าจองล่วงหน้านานยังสามารถจองไว้ก่อนแต่จ่ายเงินทีหลังได้
ทันทีที่ไปถึงก็มี Welcome drink ยกมาให้ การเช็คอินก็ใช้เพียง Passport และเซ็นเอกสารอีกนิดหน่อย ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว พนักงานโรงแรมฟังภาษาไทยเข้าใจดี เค้าอาจจะตอบกลับมาเป็นภาษาลาว แต่เราก็สามารถฟังได้เข้าใจ เพราะภาษาคล้ายๆ กัน
ซื้อตั๋วขากลับ
ที่โรงแรมมีบริการซื้อตั๋วรถไปยังเวียงจันทน์ – หนองคาย – อุดรธานี ผมเลยซื้อตั๋วขากลับเลย ขากลับนี้ผมจะนั่งยาวจากวังเวียง ไปยัง อุดรธานี เป็นรถ บขส. ราคาคนละ 420 บาท มีบริการมารับจากหน้าโรงแรมไปยังสถานีขนส่งด้วย สะดวกดีครับ
บริเวณ Lobby โรงแรม
จัดการเรื่องเช็คอิน ซื้อตั๋วเสร็จแล้ว ก็เข้าห้องพักกัน ห้องพักเราอยู่ที่ชั้น 3 เข้าไปในห้องต้องเสียบ Key card ให้ระบบไฟฟ้าทำงานเสียก่อน ห้องพักค่อนข้างกว้าง และ สะอาดดี ห้องนี้เป็นห้องแบบ Standard Twin bed มีพื้นที่ประมาณ 30 ตารางเมตร ก็ถือว่ากว้างกำลังดี
ในห้องมี LCD TV รับสัญญาณโทรท้ศน์จากไทยได้น่าจะทุกช่อง มีน้ำดื่มฟรี 2 ขวด และเครื่องดื่มมินิบาร์ในตู้เย็น (เสียเงิน) ชา กาแฟ กาไฟฟ้าต้มน้ำร้อน ผ้าเช็ดตัว 2 ผืน
มีพัดลมผนัง ไว้เปิดตอนหน้าหนาว ให้อากาศถ่ายเท
ลองเปิดใช้งานฟรี wifi ของโรงแรม พบว่าสัญญาณแรง และอินเตอร์เนตไวมากๆ
ในห้องน้ำตกแต่งแบบเรียบง่าย ค่อนข้างสะอาด แยกโซนเปียกโซนแห้งด้วยผ้าม่าน เครื่องใช้ในห้องน้ำก็มีไดร์เป่าผม แชมพู สบู่เหลว คอตตอนบัด หมวกอาบน้ำ หวี และทิชชู่ยี่ห้อ Zilk นำเข้ามาจากประเทศไทย
เก็บของเสร็จแล้วก็ออกมาชมรอบๆ โรงแรมกันบ้าง
ด้านหลังโรงแรมอยู่ติดกับแม่น้ำซอง เห็นวิวสวยๆ ของแม่น้ำและภูเขา ได้โดยที่ไม่ต้องไปไหนไกล ในหน้าหนาว ตอนเช้าจะมีหมอกลอยอยู่เหนือน้ำบรรยากาศดีมากๆ
ในวันรุ่งขึ้นเราจะเที่ยวในวังเวียง ก็เดินไปถามยังร้านทัวร์ว่ามีโปรแกรมเที่ยวอะไรบ้าง ราคาเท่าไหร่ ในตัวเมืองวังเวียงมีร้านทัวร์อยู่หลายร้าน คิดว่าราคาก็คงพอๆ กัน เป็นราคามาตราฐาน เลือกใช้บริการได้ตามสะดวก
หลังจากตัดสินใจอยู่นานก็ได้ข้อสรุปว่าเราจะไป Blue lagoon และถ้ำปูคำ ทั้งสองที่นี่ไม่มีอยู่ในโปรแกรมทัวร์ ต้องเหมารถ หรือเช่ามอเตอร์ไซค์ขี่ไป เราเลือกแบบเหมารถเป็นรถตุ๊กตุ๊ก (หรือรถกระป๊อ) ราคาอยู่ที่ 150,000 กีบ หรือประมาณ 600 บาท เดินทางตอน 9 โมง จ่ายเงินเสร็จทางร้านก็ให้ใบเสร็จมาเป็นหลักฐาน
กว่าจะจัดการเรื่องที่พัก และ One day trip เสร็จก็เริ่มจะเย็นแล้วล่ะ คงไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการเดินชมรอบวังเวียง เราเดินไปทางทิศใต้ก่อนจากนั้นกลับมาเริ่มต้นใหม่ที่โรงแรมซิลเวอร์ นากา ที่เราพัก วนเป็นวงกลมในทิศตามเข็มนาฬิกา ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร วนมาจบที่เดิม
เดินไปทางทิศใต้ เยื้องกับโรงแรมเป็นโรงพยาบาลวังเวียง ชื่อโรงพยาบาลจะมีภาษาฝรั่งเศสติดคู่กับภาษาลาว
เดินตัดไปทางแม่น้ำซองไปดูเรือสีสวยๆ ที่บริการนักท่องเที่ยวชมวิวแม่น้ำซอง
ลักษณะเรือจะเป็นเรือหางยาว นักท่องเที่ยวนั่งได้ 2 คนต่อลำ รวมคนบังคับเรือ ก็เป็น 3 คนต่อลำ
ริมน้ำซอง ยามเย็น
ป้ายเตือนนักท่องเที่ยว ห้ามสวมบิกินิ ชุดว่ายน้ำ เดินในตัวเมือง
เดินกลับมาเริ่มต้นใหม่หน้าโรงแรม Silver Naga บริเวณนี้เป็นร้านค้า ส่วนมากจะเป็นแนวร้านขายของชำ สินค้าที่ขายมากกว่า 80% เป็นสินค้าที่นำเข้าจากประเทศไทย ทั้งๆ ที่ลาวก็อยู่ติดกับจีน แต่ลาวไม่นิยมใช้สินค้าจีน เพราะสินค้าจีนคุณภาพไม่ค่อยดี สู้สินค้าจากไทยไม่ได้ ของกิน ของใช้ในลาวจะแพงกว่าไทย มีเพียงเบียร์ลาวที่ดูแล้วราคาไม่แพง ร้านค้าในลาวแทบทุกร้านรับเงินไทยโดยจะใช้เรท 250 กีบ : 1 บาท
เท่าที่เดินดูในวังเวียง รู้สึกว่าที่นี่จะมีร้านค้า ร้านอาหารมากกว่าในเวียงจันทน์เสียอีก คงเป็นเพราะวังเวียงมีความเป็นเมืองท่องเที่ยวมากกว่าเวียงจันทน์
ในรูปด้านบนเป็นร้านขายยา ปวดหัว ตัวร้อน เป็นแผล ซื้อยาทานได้
เราเดินมายังริมน้ำซอง บริเวณสะพานไม้ เป็นจุดถ่ายรูปที่สวยจุดหนึ่งในวังเวียง มองเห็นแม่น้ำซอง วิวภูเขา
ในช่วงเย็นจะมีนักท่องเที่ยวมาพายเรือคายัด เล่นน้ำ ฝรั่งก็นิยมมานอนอาบแดด อ่านหนังสือ จิบเบียร์ริมแม่น้ำ
เท่าที่สังเกตฝรั่งเค้าจะชอบเที่ยวแนวธรรมชาติมาก ลงเล่นน้ำกันสนุกสนาน
น้ำในแม่น้ำซอง ค่อนข้างใส สะอาด คงเป็นเพราะว่าเค้าไม่มีโรงงานอุตสาหกรรม ไม่มีการรุกล้ำไปสร้างสิ่งก่อสร้างบนน้ำ ประชากรอาศัยริมน้ำไม่มาก และใต้แม่น้ำซองเป็นหินกรวด ไม่มีดินเลน มาทำให้น้ำขุ่น
ในรูปด้านบนจะเป็นโรงแรมที่เราพัก Silver Naga Hotel เป็นโรงแรมใหญ่ในวังเวียง
บอลลูนสีส้มที่ลอยอยู่บนท้องฟ้ามีค่าใช้จ่ายอยู่ที่คนละ 80 USD หรือประมาณ 2,600 บาท ได้เห็นภาพมุมสูงของวังเวียงแบบ 360 องศา
พอใกล้เย็นแสงยิ่งสวยครับ ลองถ่ายแบบย้อนแสงมาหนึ่งรูป ให้พระอาทิตย์ไปซ่อนอยู่หลังต้นไม้ ให้เรือเป็นฉากหน้า
โรงแรมรุ้งนะคอนวังเวียงพาเลด (เขียนแบบภาษาลาว) โรงแรมมีทั้งหมด 5 ชั้น มีความแปลกตรงที่สร้าง 4 ชั้นแรกก่อน แล้วเปิดให้บริการ และก็มีการสร้างชั้นที่ 5 เพิ่มขึ้น มีคำถามในใจว่าทำไมไม่สร้างให้เสร็จ 5 ชั้นเลยทีเดียว แล้วค่อยเปิด
ข้างๆ โรงแรมเป็นย่านขายแฮมเบอร์เกอร์ เซนวิช โรตี (Pan cake) แบบรถเข็น ราคาแฮมเบอร์เกอร์เริ่มต้นที่ 20,000 กีบ แม่ค้าบริเวณนี้เปิดเพลงหมอรำของไทย ฟังกันอย่างสนุกสนาน
ตรงข้ามแผงขายแฮมเบอร์เกอร์ เป็นมินิมาร์ทติดสติกเกอร์คล้ายกับ 7-eleven บริเวณนี้ที่พักค่อนข้างเยอะ มีทั้งวิวแม่น้ำซองและวิวตัวเมือง
ร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ เกียร์ออโต้ 80,000 กีบ (320 บาท) และเกียร์ธรรมดา 50,000 กีบ (200 บาท) ไม่รวมน้ำมัน ก็ถือว่าเป็นราคาที่ไม่แพงนะ
ร้านเช่าจักรยาน เสือภูเขา 20,000 กีบ และจักรยานแม่บ้าน 10,000 กีบ
สำหรับคนที่ชอบทานเค้ก เบเกอร์รี่ แนะนำ ร้านหลวงพระบางเบเกอร์รี่ เป็นร้านขนมที่ดังที่สุดในวังเวียง ขายเค้ก คุกกี้ กาแฟ เครื่องดื่ม เปิด 7 โมง – 4 ทุ่ม ทุกวัน มีฟรี wifi ให้ใช้ด้วย ร้านค่อนข้างใหญ่ ชาวต่างชาตินิยมมาทาน ราคาก็แพงนิดนึง ประมาณย่านสถานที่ท่องเที่ยวดังๆ ของเรา
หลวงพระบางเบเกอร์รี่
ร้านกิน ดื่มในวังเวียงจะเป็นร้าน Sakura Bar กลางคืนมีฝรั่งมาดื่มค่อนข้างเยอะ ลักษณะเป็นแนวเล่มเกม คุยกัน กินเบียร์
ช่วงเย็นเราหาของกินง่ายๆ ทาน เป็นโรตีกล้วย และ แฮมเบอร์เกอร์ไก่ ราคาอยู่ที่ 10,000 กีบ (40 บาท) และ 20,000 กีบ (80 บาท) ตามลำดับ รสชาติก็พอทานได้ ค่าอาหารราคาแพงแบบนี้คิดถึง 7-eleven และร้านอาหารตามสั่งบ้านเราเลย
ป.ล. รูปด้านบนโฟกัสผิดไปหน่อย หน้าเบลอ หลังชัดเลย
คืนแรกในวังเวียงก็ผ่านไปด้วยดีครับ นอนหลับสบาย
วังเวียง วันที่ 2 : บลูลากูน ถ้ำปูคำ ถ้ำจัง ดูฝรั่งเล่นทูบปิ้ง
เช้านี้ฝากท้องไว้กับโรงแรม ห้องอาหารของโรงแรมจะอยู่ข้าง Lobby เป็นอาหารเช้าแบบ Buffet อาหารที่มีก็ผัดหมี่ ผัดผัก แกงกะทิคล้ายแกงมัสมั่น เฝอ (คล้ายๆ ก๋วยเตี๋ยว) Egg counter (ไข่ดาว ไข่เจียว) สลัดผัก ผลไม้ ขนมปังปิ้ง เบเกอร์รี่
เครื่องดื่มก็มีน้ำผลไม้ น้ำเปล่า ชา กาแฟ
เดินวนรอบ Line อาหาร 2 รอบ รู้สึกว่าไม่ค่อยมีโปรตีนเลย หมู ไก่ ปลา ไส้กรอก แฮม ไม่มีเลย มีแต่ไข่เท่านั้น รู้สึกแอบเซ็งเล็กน้อย
แอบส่องไปที่ถังแก๊สใช้ของเวิลด์แก๊ส ผลิตในประเทศไทย
มื้อเช้าง่ายๆ ของเรา
เดินทางสู่บลู ลากูน
9.00 น. เรามาขึ้นเราตุ๊กๆ (กระป๊อ) ที่จะเหมาไปเที่ยวบลูลากูน (Blue Lagoon) และ ถ้ำปูคำ ค่ารถแบบเหมาอยู่ที่ 600 บาท รถ 1 คันสามารถนั่งได้สูงสุด 6 คน ถ้ามากันหลายๆ คนก็คุ้มมากๆ หารแล้วคงตกคนละไม่กี่ร้อยบาท
นอกจากการเหมารถแล้ว ยังสามารถเช่ามอเตอร์ไซค์ขี่ไปเที่ยวเองได้ หรือคนที่ชอบปั่นจักรยานก็สามารถปั่นมาบลูลากูน ได้เหมือนกัน แนะนำให้เป็นจักรยานเสือภูเขาจะดีที่สุด ค่าเช่าเริ่มต้นที่ 60 บาท / คัน / วัน
จากตัวเมืองวังเวียง ไป บลูลากูนมีระยะทางประมาณ 6-7 กิโลเมตร วิ่งไปทางทิศตะวันตกของวังเวียง ผ่านสะพานเหล็กข้ามแม่น้ำซอง เส้นทางที่จะไปเป็นถนนลูกรัง ขรุขระ เป็นหลุมเป็นบ่อเยอะ ให้อารมณ์แบบชนบทสุดๆ แทบไม่น่าเชื่อว่านี่คือหนึ่งในสถานที่เที่ยวยอดฮิตของวังเวียง
2 ข้างทางจะเป็นบ้านคน ไร่ นา ได้เห็นวิถีชีวิตของชาววังเวียงแท้ๆ
นอกจากถนนลูกรังแล้ว บางช่วงก็ยังมีโคลน น้ำขังแฉะ
ปั่นจักรยานไปบลู ลากูน
วิ่งกันทีก็ฝุ่นตลบแบบนี้
รถวิ่งได้ไม่เร็วมาก เห็นเส้นทางแล้วสงสารรถจริงๆ ประมาณ 30 นาทีเราก็มาถึงบลู ลากูน มีค่าเข้าคนละ 10,000 กีบ (ประมาณ 40 บาท) สามารถเข้าชมได้ทั้งบลู ลากูน และ ถ้ำปูคำ
บลู ลากูน (Blue Lagoon)
สระน้ำธรรมชาติ ของวังเวียง มีลักษณะเป็นสระน้ำ มีน้ำสีฟ้า ใส ขนาดไม่ใหญ่ คล้ายๆ กับสระมรกต ที่กระบี่บ้านเรา รอบๆ บลู ลากูน บรรยากาศร่มรื่น มีต้นไม้ใหญ่อยู่ริมน้ำ กิจกรรมยอดนิยมของการมาเที่ยวบลู ลากูน คือการได้กระโดดลงเล่นน้ำ และปิคนิคทานมื้อกลางวันกันที่นี่
น้ำในสระบลู ลากูน ที่ค่อนข้างใสนั้นเป็นเพราะว่า บริเวณนี้เต็มไปด้วยภูเขาหินปูน มีหินปูนอยู่ในดินมากมาย ซึ่งในหินปูนจะมี แคลเซียมคาร์บอเนต ซึ่งทำให้สารแขวนลอยอยู่ในน้ำนั้นตกตะกอน สีของน้ำในบลู ลากูนสามารถใช้บอกความลึกได้ บริเวณไหนมีสีเขียวมรกต หรือสีฟ้ามาก บริเวณนั้นจะมีความลึก
หลังจากรถจอดรถแล้ว เราต้องเดินข้ามสะพานไม้มายังอีกฝั่งหนึ่ง
ในรูปด้านล่างจะเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเล่นน้ำ ส่วนมากเค้าจะมาเล่นกันช่วงบ่าย
ต้นไม้ใหญ่จะเป็นจุดกระโดดน้ำลงบลู ลากูน มีบันได้ให้ปีนขึ้นไป
บันไดปืนขึ้นต้นไม้
อาหาร และ เครื่องดื่ม. อาหารจานเดียว – แซนวิช เริ่มต้นที่จานละ 100 บาท น้ำผลไม้ปั่น 40 บาท มีศาลาให้นั่งทาน บรรยากาศสบายๆ ริมน้ำ ค่าครองชีพในลาวสูงจริงๆ เมื่อเทียบกับรายได้ของคนลาว
เดินจากบลู ลากูนเข้าไปด้านในเพียงนิดเดียว ก็จะเจอกับทางขึ้นไปยังถ้ำปูคำ หน้าบันไดขึ้นถ้ำจะมีโต๊ะให้เช่าไฟฉาย ราคา 10,000 กีบ (40 บาท) ลักษณะเป็นไฟฉายแบบคาดหัว อาจจะเช่า 2 คน / 1 อันก็ได้ หรือถ้าใครเตรียมมาด้วยก็ไม่ต้องเสียเงินเช่า
ไฟฉายแบบคาดหัว
ทางขึ้นไปยังถ้ำปูคำ จะต้องเดินขึ้นบันไดหินไปประมาณ 10 นาที ทางค่อนข้างชันเป็นบ้างช่วง ผู้สูงอายุ และคนที่เข่าไม่ค่อยดี ไม่แนะนำครับ
10 นาทีกับการเดินขึ้นที่ชันๆ ก็ทำเอาหอบได้เหมือนกัน
เมื่อยืนอยู่ปากถ้ำก็จะเห็นห้องโถงของถ้ำ มีแสงสว่างลอดผ่านช่องหินเข้ามาในถ้ำ ภายในห้องโถงแรกของถ้ำไม่ได้มืดอย่างที่คิด แสงไฟจากโทรศัพท์มือถือก็พอใช้ได้เหมือนกัน แต่ถ้าคิดจะเข้าไปด้านในถ้ำลึกเข้าไปอีก ก็จำเป็นต้องมีไฟฉายสว่างๆ
ภายในถ้ำอากาศชื้น เย็น ผนังถ้ำค่อนข้างสูง ไม่อึดอัด
พระพุทธรูป ที่กลางถ้ำ
ในถ้ำมีน้ำหยด น้ำขัง ก่อนที่จะก้าวเท้าลงไป เอาไฟฉายส่องเสียก่อน จะได้ไม่ลื่นล้ม
เราใช้เวลาชมถ้ำประมาณ 20 นาที ใครที่ชอบแถวถ้ำ อาจจะใช้เวลามากกว่านี้
ระหว่างขาลงไปยังด้านล่างเห็นเค้าโรยตัวผ่านสลิง (Flight of the Gibbon) ลงมาจากด้านบน ดูค่อนข้างเสียว และน่าสนุกดีเหมือนกัน
ช่วงสายๆ นักท่องเที่ยวชาวเกาหลี ชาวจีน มาลงเล่นน้ำกันเป็นกรุ๊ป บรรยากาศคึกคัก ขึ้นมาทันที
เหมาเที่ยวถ้ำจัง จุดปล่อยทูบปิ้ง เรือคายัค
ตามโปรแกรมที่เราเหมามาจะต้องจบลงเท่านั้น แต่เหมือนพี่คนขับรถยังไม่อยากกลับบ้าน ส่วนเราก็ยังอยากเที่ยวต่อ เลยเหมาไปเที่ยวต่อยังถ้ำจัง และจุดปล่อยทูบปิ้ง เรือคายัค ราคาเหมาจ่ายเพิ่มเติมอยู่ที่ 300 บาท เรารีบตกลงอย่างไม่ต้องคิดมาก
รถ ATV ให้เช่าขับบริเวณบลู ลากูน
เราบอกให้คนขับแวะจอดที่สะพานเหล็กข้ามแม่น้ำซอง
สองฝั่งของแม่น้ำซอง จะมีสะพานเชื่อมกันหลายจุด บางสะพานผ่านได้เฉพาะมอเตอร์ไซค์ จักรยาน และ คนเดินข้าม บางสะพานรถ 4 ล้อเล็กข้ามได้ สะพานที่รถข้ามได้ส่วนมากจะต้องเสียค่าผ่านทาง
ตัวสะพานโครงสร้างทำมาจากเหล็ก ใช้ลวดสลิงขึง พื่นปูด้วยไม้ ดูจากความแข็งแรงของสะพานแล้วคงรองรับได้มากสุดที่รถกระบะ
ถ้ายืนตรงกลางสะพานจะเห็นวิวแม่น้ำซอง และแนวภูเขาได้อย่างชัดเจน
จากสะพานเหล็กใช้เวลาเพียง 5 นาทีก็มาถึงทางเข้าถ้ำจัง ตอนนั้นเป็นเวลาใกล้จะเที่ยงแล้ว คนขับรถเลยขอตัวกลับไปกินข้าวที่บ้าน แล้วนัดมารับเราใหม่ตอนบ่ายโมง
สะพานข้ามไปยังถ้ำจัง เสียค่าผ่านประตู 2,000 กีบ (8 บาท)
สะพานแดง อันเลื่องลือ หนึ่งในจุดถ่ายรูปยอดนิยมของวังเวียง
ทางเข้าไปยังถ้ำจัง มีผลไม้ มันปิ้งขาย บลู ลากูนที่ว่าเงียบแล้ว มาเจอถ้ำจัง เงียบกว่าเป็นหลายเท่า
บริเวณถ้ำจังก็มีน้ำสีฟ้า ใสๆ เหมือนกัน ดูแล้วน่าจะใสกว่าบลู ลากูนเสียอีก แต่ไม่ค่อยเหมาะกับการลงเล่นน้ำ เพราะมีหินค่อนข้างเยอะ
น้ำใสขนาดที่ว่ามองเห็นพืชใต้น้ำได้อย่างชัดเจน
การจะขึ้นไปชมในถ้ำจัง จะต้องเสียค่าเข้าดังนี้
– ชาวต่างชาติ 15,000 กีบ
– คนลาว 10,000 กีบ
– เด็ก (คนลาว) 5,000 กีบ
ทางขึ้นไปยังถ้ำจังจะเป็นบันได 147 ขั้น เมื่อขึ้นไปด้านบนจะเห็นวิวแม่น้ำซอง สะพานเหล็กสีแดง ได้อย่างสวยงาม
จุดชมวิว
สะพานเหล็กแดง ตรงทางเข้า (รูปบน)
ทางเข้าถ้ำ
ถ้ำจังมีการติดไฟส่องสว่างไว้ทั่วทั้งถ้ำ เราไม่ต้องใช้ไฟฉายเลย ทางเดินก็เป็นพื้นคอนกรีตอย่างดี เดินง่าย
ศาลภายในถ้ำ
เดินไม่ถึง 5 นาทีก็จะถึงอุโมงค์ถ้ำอีกฝั่งหนึ่ง เป็นจุดชมวิวอีกเช่นกัน เห็นสายน้ำและทุ่งนาของเมืองวังเวียง
เราใช้เวลาในถ้ำจังประมาณ 10 นาทีกว่าๆ ก็ได้เวลาเดินลง
มื้อกลางวันเราฝากท้องไว้ที่ถ้ำจัง ร้านอาหารมุงหลังคาสังกะสีในรูปด้านล่าง ทันทีที่เข้าไปในร้านก็รู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่ในประเทศไทย ร้านนี้เปิดเพลงของต่าย อรทัย คนลาวเค้านิยมฟังเพลงไทยกันครับ
อาหารที่ขายก็คล้ายกับบ้านเรา เช่น ข้าวผัด ผัดกระเพรา หมูผัดพริก เห็นร้านแบบนี้ราคาไม่เบาเลย ราคาจานละ 35,000 กีบ (140 บาท) รสชาติให้ผ่าน แต่ปริมาณหมูจะน้อยไปไหนกัน จานละ 140 บาทน่าจะทำได้ดีกว่านี้
ข้าวผัดหมู
บ่ายโมงมาขึ้นรถต่อไปจังจุดปล่อยทูบปิ้ง เรือคายัค ที่ Song View Restaurant จุดนี้จะอยู่ห่างจากถ้ำจังประมาณ 20 นาที มาถึงตรงนี้ค่อนข้างตกใจ เหมือนเป็นที่ของฝรั่งโดยเฉพาะ ไม่มีชาวเอเชียเลย
ที่นี่เปิดเพลงแนว EDM ตื๊ด ตื๊ด ไม่มีคนร้อง ฝรั่งก็เล่นเกม กินเบียร์กันอย่างสนุกสนาน สังเกตว่าจะมีแต่ฝรั่งรุ่นๆ ทั้งนั้นเลย เราก็ได้แต่สังเกตการณ์อยู่รอบนอก ร้านนี้อยู่ติดริมน้ำซอง บรรยากาศดีมาก
แม่น้ำซอง
บริเวณนี้กระแสน้ำไหลกำลังดี เหมาะกับการเล่นทูบปิ้ง พายเรือคายัค ให้ไหลไปตามกระแสน้ำ น้ำจะไหลไปทางตัวเมืองวังเวียง ปลายทางจะมีคนมารับเรา เราจะไม่ย้อนกลับมาตรงนี้แล้ว
ทูบปิ้ง (Tubing) เป็นกิจกรรมทางน้ำอย่างหนึ่งโดยใช้ห่วงยางขนาดใหญ่ ให้คนนั่ง หรือ นอนไปบนห่วงยาง แล้วปล่อยให้ไหลไปตามน้ำ ระหว่างเส้นทางก็จะมีจุดพัก จุดขายเครื่องดื่ม อยู่หลายจุด พักเสร็จก็ลอยน้ำไปต่อ ค่าใช้จ่ายในการเล่นอยู่ที่คนละ 250 บาท + ค่ามัดจำห่วงยาง 250 บาท ค่ามัดจำจะได้คืนตอนคืนห่วงยาง
ถึงแม้แม่น้ำซองจะไม่ลึก แต่เพื่อความปลอดภัยจะใส่เสื้อชูชีพด้วยก็ดีครับ ข้าวของเครื่องใช้ ของมีค่าให้เก็บไว้ในถุงกันน้ำ
ครอบครัวนี้ลงน้ำกันแล้ว
ทูบปิ้ง
กลุ่มนี้เป็นชาวเกาหลี มาลงเรือคายัคกัน
ร้านอาหารที่ฝรั่งมาปาร์ตี้ กิน ดื่มกัน
ด้วยอุปกรณ์กล้องถ่ายรูป ที่ไม่ค่อยเอื้ออำนวยต่อการเล่นทูบปิ้ง เราจึงได้แต่ดูเค้าเล่นกัน จากนั้นก็กลับมายังรีสอร์ท จ่ายค่ารถส่วนที่เพิ่มขึ้นจากตอนแรก 300 บาท และทิปไปอีก 100 บาท
หามุมถ่ายรูปในโรงแรม ที่ชั้น 2 จะมีสระว่ายน้ำ เห็นวิวแม่น้ำซอง และภูเขาที่เรียงรายตามแนวแม่น้ำ ต้องยอมรับว่าธรรมชาติเค้าสวยงาม และอุดมสมบูรณ์ดีจริงๆ
น่าเสียดายที่ไม่ได้พกชุดว่ายน้ำมาด้วย ไม่งั้นคงได้ว่ายไป ชมวิวไป
นั่งพักเหนื่อยในห้องจนถึงเย็น มื้อเย็นเราไปทานเฝอกันครับ
ร้านที่ทานชื่อร้านแม่โอเลย (ถ้าอ่านภาษาลาวไม่ผิดนะ) Noodle Shop อยู่หน้าโรงแรมมาลานิ (Malany Hotel)
เฝอจะเป็นอาหารเวียดนาม – ลาว คล้ายๆ กับก๋วยเตี๋ยวบ้านเรา แต่จะมีการใส่ผักเยอะกว่า ราคาชามละ 18,000 กีบ (72 บาท) ถือว่าราคาไม่แพง รสชาติจัดว่าอร่อยเลยละครับ ถ้าไปลาวหรือเวียดนาม แนะนำให้ลอง
วังเวียง วันที่ 3 : นั่งยาว กลับอุดร
วันนี้เป็นวันที่ 3 ในวังเวียงแล้ว รู้สึกว่ายังไม่ค่อยอยากกลับเท่าไหร่ แอบเสียดายว่าจัดทริปสั้นไปหน่อย มาแค่ 5 วัน ถ้าจัดเป็น 7 วัน คงได้เดินทางไปต่อที่หลวงพระบาง ครั้นจะมาหลวงพระบางใหม่ครั้งหน้าก็รู้สึกเบื่อการนั่งรถยาวจากอุดรฯ จะบินตรงมาหลวงพระบางก็หนักใจค่าตั๋วเครื่องบิน
มื้อเช้าเรากิน Buffet ที่โรงแรมเหมือนเดิม และเช็คเอ้าต์ที่พัก รอรถมารับไปสถานีขนส่งวังเวียง เพื่อเดินทางกลับอุดรธานี
8.45 น. รถตู้สีเหลืองมารับที่หน้าโรงแรม
รถตู้รับผู้โดยสารตามโรงแรม และมาส่งยังสถานีขนส่ง
เมื่อมาถึงสถานีขนส่งแล้ว ให้นำใบเสร็จที่ซื้อตั๋วรถจากโรงแรมมาแลกเป็นตั๋วจริง พร้อมกรอกชื่อ หมายเลขหนังสือเดินทาง กับเจ้าหน้าที่ รอบนี้เราเดินทางด้วยรถไทย เวลา 9 โมง
รถบัสที่วิ่งในเส้นทาง วังเวียง – หนองคาย – อุดรธานี จะเป็นรถของไทยและลาว สลับกันออก ถ้าถามว่ารถใครดีกว่ากัน โดยส่วนตัวแล้วคิดว่ารถฝั่งไทยดีกว่า น่านั่งกว่า ดูรูปด้านล่างประกอบ
รูปบน เป็นรถของทางลาว รูปล่าง เป็นรถ บขส. ของไทย
9.20 น. พนักงานให้ขึ้นรถได้เลย กระเป๋าใบใหญ่ จะโหลดไว้ที่ใต้ท้องรถ
ตามกำหนดเวลา รถจะต้องออกเวลา 9.30 น. แต่ในความเป็นจริงรถจะออกได้ก็ต่อเมื่อนายท่าให้ออก ทำให้รถกว่าจะได้ออกก็ 10 โมงกว่า ไม่รู้ว่ารอผู้โดยสารหรือว่ารออะไร ก็ได้แต่เซ็งไปตามๆ กัน
11.50 น. รถแวะจอดกลางทางที่ร้านเดิม เหมือนตอนขามา ใครหิวก็ซื้อแซนวิชรองท้องกันไปก่อน
รถแวะส่งคนตามรายทางจุดใหญ่ๆ เช่นเวียงจันทน์ จากนั้นก็มุ่งหน้าเข้าด่านฝั่งลาว ที่สะพานมิตรภาพไทย – ลาว
ลงจากรถแล้วให้ไปต่อแถวรับการ์ดผ่านแดน
ราคาการ์ดผ่านแดน
- ในเวลาราชการ วันจันทร์ – ศุกร์ 8.00-16.00 น : ฟรี
- นอกเวลาราชการ และวันหยุด : 10,000 กีบ หรือ 41 บาท
จากนั้นก็สำรวจอีกครั้งว่าใบ ตม. ลาวขาออกได้กรอกข้อมูลครบถ้วนแล้วหรือยัง ถ้ากรอกเรียบร้อยแล้ว ก็ต่อแถวผ่าน ตม. ลาว เช็คความถูกต้องบนหนังสือเดินทางว่าประทับตราขาออกแล้วหรือยัง จากนั้นนำการ์ดผ่านแดงไปเสียบที่ประตูทางออก ประตูจะเปิดออกพร้อมกับดูดการ์ดไป
คำเตือน. ด่าน ตม. ลาว ทั้งขาเข้า และขาออก อาจมีการลืมประทับตรา การที่ไม่มีตราประทับขาใดขาหนึ่ง เป็นเหตุให้ถูกปรับเป็นเงินได้ถึง 2,000,000 กีบ หรือประมาณ 4,500 บาท
ออกจากด่านฝั่งลาว ก็ขึ้นรถคันเดิมต่อไปลงตีนสะพานผ่าน ตม. ฝั่งไทย
เมื่อถึงด่าน ตม. ฝั่งไทย จะต้องเอาสัมภาระทุกอย่างลงติดตัวไปด้วย
ขั้นตอนในการผ่านด่าน ตม. ไทย
1. เข้าแถวด่าน ตม. ประทับตราลงหนังสือเดินทาง ว่าเดินทางเข้าประเทศแล้ว
2. เข้าแถวสแกนสัมภาระ
3. ถึงฝั่งไทยอย่างเรียบร้อย แลกเงินลาวคืนเป็นเงินไทย (ถ้ามี)
4. ขึ้นรถบัสคันเดิม นั่งยาวไปยังหนองคาย – อุดรธานี
ร้านแลกเงินลาว (กีบ) – ไทย (บาท)
ขึ้นรถบัสคันเดิม นั่งยาวไปอุดรธานี ถึงสถานีขนส่งประมาณ 16:15 น.
เราก็แวะพักที่อุดรฯ 1 คืน และวันรุ่งขึ้นก็นั่งเครื่องกลับกรุงเทพฯ หลังจากนี้จะไม่ค่อยมีเนื้อหาสาระอะไรแล้ว จึงขอจบรีวิวเวียงจันทน์ – วังเวียง ไว้เพียงเท่านี้ครับ ด้านล่างเป็นเป็นตารางสรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมด หากใครมีข้อสงสัยในรีวิวนี้สามารถสอบถามได้ที่ Comment ด้านล่างเลยครับ
สรุปค่าใช้จ่ายทริปเวียงจันทน์ – วังเวียง – อุดรธานี 5 วัน 4 คืน ของ 2 คน
รายการ | ราคา (บาท) |
ตัวเครื่องบินกรุงเทพฯ – อุดรฯ (โปร 0 บาท) | 685 |
ที่พักเวียงจันทน์ 1 คืน Manorom Boutique Hotel | 1,286 |
ที่พักวังเวียง 2 คืน Silver Naga Hotel | 3,216 |
ที่พักอุดรฯ 1 คืน โรงแรมเจริญ | 1,100 |
ค่ากิน 10 มื้อ | 3,000 |
ค่าเดินทางในลาว | 1,400 |
เหมารถเที่ยวในลาว + ทิปคนขับรถ | 1,900 |
ค่าเข้าชมสถานที่ในลาว | 400 |
ค่ารถในไทย | 600 |
อื่นๆ | 500 |
: : รวมค่าใช้จ่ายของ 2 คน | 14,087 |
: : เฉลี่ยคนละ | 7,043.5 |
Post Views 173696
ถึงอุดร กี่โมงค่ะ
ตอบคุณ Boo
ประมาณ 16.15 น. ครับ
ถึงขนส่งอุดร 16.15 พอทราบมั๊ยคะว่า ถ้าจะไปต่อสนามบินเลย ใช้เวลากี่ชั่วโมงคะ
สุดยอดรีวิว ขอบคุณนะคะสำหรับข้อมูลคนอยากไปเที่ยว
ตอบคุณเจี๊ยบ
ขอบคุณที่แวะมาให้กำลังใจครับ
ขออนุญาตสอบถามนะคะ ห้องพักที่ถ่ายมาพักกันกี่คนหรอคะ
ตอบคุณ FFJ
พัก 2 คนครับ