เที่ยวตลาดปลา Auga – Furukawa นั่ง Shinkansen เที่ยวในเมือง Morioka

ต่อจากตอนที่แล้ว ชมใบไม้เปลี่ยนสี Nakano Momiji Yama ปราสาท Hirosaki

วันนี้มีโปรแกรมเที่ยวแบบเบาๆ ใน Aomori จากนั้นจะย้ายเมืองไปนอนที่ Morioka

  • เช้า : ตลาดปลา Auga และ Furukawa
  • บ่าย : ในเมือง Morioka + ปราสาท Morioka Castle Site Park (Iwate park)

ตอนที่วางโปรแกรมครั้งแรกคิดว่าจะนั่งรถไฟมา Sendai เลย แต่ด้วยความไม่อยากนั่งรถไฟยาว เลยหาที่เที่ยวกลางทางที่เป็นสถานีใหญ่ และต้องการหาที่เที่ยวใหม่ๆ ที่คนยังไม่ค่อยไป สุดท้ายก็เลือกเมือง Morioka

หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จ เรายังไม่เช็คเอ้าต์โรงแรม เดินมาจองตั๋วรถไฟ Shinkansen ไป Morioka ที่สถานี Aomori รถไฟในเส้นทางนี้เป็นแบบจองที่นั่ง 100% ไม่มีตู้แบบไม่จอง

ระหว่างทางไปสถานีรถไฟ Aomori ปลูกต้นแอปเปิ้ล น่าจะเป็นสายพันธุ์ที่ปลูกเพื่อความสวยงาม ลูกเล็กเท่ามะเขือเทศเอง

ขั้นตอนการจองที่นั่งรถไฟ

เตรียม JR East pass Tohoku + Passport ตามจำนวนคน และ capture รอบรถไฟใน Hyperdia ที่เราต้องการไป แล้วยื่นให้พนักงาน เมื่อเสร็จแล้วพนักงานจะยื่นตั๋วและชี้แจงรายละเอียดในตั๋วให้เรา

ห้องออกตั๋วเค้าเปิดเช้ามาก ตั้งแต่ 5.20 น. จนถึง 21.40/22.30 น. คงจะเปิดก่อนรถไฟเที่ยวแรก และ ปิดพร้อมรถไฟเที่ยวสุดท้าย

จองตัวรถไฟเสร็จก็เดินเล่นหน้าสถานี Aomori ในรูปเป็นเวลาประมาณ 8 โมง บรรยากาศเงียบเหงาคนน้อยมาก คนที่นี่ดูสบายๆ ไม่รีบเร่งเหมือนโตเกียว

ในรูปด้านล่างเป็น Toyota CHR หน้าตาเหมือนที่ขายในไทย ที่ญี่ปุ่นโรงงานผลิตอยู่ที่จังหวัด Iwate ส่วนรุ่นที่ขายในไทยผลิตที่ฉะเชิงเทรา

ร้านแอปเปิ้ลหน้าสถานี เริ่มต้นที่ลูกละ 100 เยน มีของฝากอื่นๆ ขายด้วย เหมาะกับคนที่มีเวลาจำกัดซื้อของเสร็จ เข้าสถานีได้เลย

เริ่มต้นเที่ยวสถานที่แรก ตลาดปลา Auga Fish market แผนที่ใน Google map

ทางเข้าจะอยู่ชั้นล่างของอาคาร Auga Festival City shopping center ภายในตลาดปลาจะมีอาหารทะเลสด เช่น ปลาทูน่า หมึก กุ้ง ปู อาหารทะเลแห้ง สาหร่าย วัตถุดิบ เครื่องปรุงอาหารญี่ปุ่น นอกจากนี้ก็มีร้านอาหารแนวปลาดิบ ซูชิ และ ข้าวหน้าปลาดิบ

เวลาทำการ : 5.30-18.30 น.

ปิด : วันพุธ

ทางลงไปยังตลาดปลา Auga

เมนูข้าวหน้าปลาดิบเริ่มต้นที่ 1,700 เยน ดูจากรูปแล้วค่อนข้างน่าทาน รูปอาหารในญี่ปุ่น กับของจริงมักจะตรงปก ในรูปปริมาณเต็มชาม ของจริงก็มักเต็มชาม

ลงมาถึงตลาดปลาด้านล่าง ต้องยกนาฬิกาขึ้นมาดูใหม่ เงียบจนคิดว่ายังไม่เปิด นาฬิกาเข็มชี้ไปที่ 8 โมง แต่มองไม่เห็นคนซักเท่าไหร่ ร้านค้าก็เปิดไม่เต็ม เคยไปตลาดปลา Tsukiji ที่โตเกียว คนแน่นแทบจะไม่มีที่ให้ถ่ายรูป

สาเหตุที่ตลาดปลา Auga คนน้อย เพราะใกล้ๆ กันในระยะเดินไปได้ มีตลาดปลา Furukawa ซึ่งเป็นตลาดปลาที่นักท่องเที่ยวนิยมไปมากกว่า

ปลาแห้ง หมึกแห้งก็มี ราคาก็ไม่เบา ถ้าไม่ใช่ของแปลกจริงๆ ไม่แนะนำให้ซื้อ ไหนจะเรื่องกลิ่น ราคาก็ด้วย อาหารทะเลแห้งบ้านเราก็มีขายเยอะ

กระเทียมญี่ปุ่น หัวใหญ่ ดูสะอาด ราคาสูง ถ้าอ่านจากป้ายไม่ผิด ราคากิโลกรัมละ 2,200 เยน เชียว หรือ ประมาณ 2,200*0.28 = 616 บาท

สิ่งที่น่านำไปเป็นแบบอย่างของตลาดญี่ปุ่น คือความสะอาด ไม่มีน้ำแฉะที่ทางเดิน

ที่เห็นเดินตลาด ส่วนมากจะเป็นนักท่องเที่ยว เดินชมตลาด

โซนนี้ขายอาหารทะเลสด ปลานานาชนิด

เราใช้เวลาชมตลาด Auga เพียง 10 นาที ตลาดเล็ก และ ไม่รู้จะซื้ออะไร

เดินออกจากตลาดไปตามถนน Chuo-Furokawa-Dori มีร้านขายผลไม้ท้องถิ่น เช่น ลูกพลับ แอปเปิ้ล และ องุ่น จากที่นั่งรถไฟเที่ยวมา 3 วัน ผลไม้ที่ดูไม่ค่อยมีราคาจะเป็นลูกพลับ มีปลูกกันหลายบ้าน บางสวนปล่อยให้สุก ร่วง คาต้นด้วยซ้ำ ส่วนผลไม้ที่ดูมีราคากว่าที่คิดก็เป็นองุ่น พวงไม่ใหญ่ราคา 1,000 เยนเลย

ตำแหน่งร้านใน Google map

เราได้แอปเปิ้ลจากร้านนี้ไปทาน 4 ลูก มา Aomori ไม่ควรพลาดแอปเปิ้ล มีความรู้สึกว่าหอม หวาน กว่าแอปเปิ้ลที่ขายในไทย

ถัดจากแผงผลไม้ไม่ไกลก็เป็น ตลาดปลา Furukawa ซึ่งเป็นตลาดปลาที่มีชื่อเสียงที่สุดใน Aomori ตำแหน่งตลาดปลาใน Google map

ตัวตลาดอยู่ในพื้นที่ปิด คงเป็นเพราะว่ากันลม อากาศหนาว และ ควบคุมความสะอาด ภายในมีแผงขายอาหารทะเลสด ส่วนอาหารทะเลแห้งมีน้อยกว่าตลาดปลา Auga กิจกรรมยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่มาตลาดปลาแห่งนี้ คือการออกแบบเมนูข้าวโป๊ะอาหารทะเลด้วยตัวเอง หรือที่ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า Nokkedon

เราเดินสำรวจตลาด 1 รอบ ว่ามีของอะไรขายบ้าง ปลาดิบน่าทานไหม สุดท้ายก็คิดว่าควรลองดู เลือกซื้อคูปองเป็นชุดเล็ก เนื่องจากทานมื้อเช้ามาแล้ว และกลัวว่าท้องไส้จะปั่นป่วนตอนอยู่บนรถไฟ

ขั้นตอนการทำ Nokkedon

1.ซื้อคูปองที่ Information คูปองมี 2 ราคา ชุดเล็ก 5 ใบ/ 750 เยน และ ชุดใหญ่ 10 ใบ/ 1,500 เยน

2.เดินไปที่ร้านเบอร์ 3 (หรืออาจจะเป็นเบอร์อื่น ตามที่เค้าจะให้การ์ดมา) แลกข้าว 1 ถ้วย ใช้คูปองไป 1 ใบ

3.ส่วนปลา และ อาหารทะเลราดข้าว ให้เราเดินไปร้านใดๆ ก็ได้ในตลาด ถูกใจกับร้านไหนก็ค่อยซื้อ แต่ละร้านจะมีบอกว่าอาหารชิ้นนี้ใช้คูปองกี่ใบ เค้าก็จะบรรจงตักใส่ชามเรา นอกจากปลาดิบแล้วก็มีอาหารปรุงสุกด้วย แต่มีไม่มาก

ปลาแซลมอนส่วนท้องชิ้นละ 1 ใบ ชิ้นส่วนนี้จะมันๆ หน่อย

รูปล่าง ร้านนี้ขายปลาสด ไม่เกี่ยวกับ Nokkedon

ใช้คูปองจนครบ 5 ใบ รู้สึกว่าดูน้อยๆ ไม่พูนจาน และไม่หลากหลายเหมือนคนอื่นเค้า

4.จากนั้นก็หาที่นั่งทาน ตามมุมต่างๆ ในตลาด เค้าจะมีโต๊ะให้นั่งทาน มีตะเกียบ วาซาบิ ซอส ขิง น้ำดื่ม ให้ทานฟรี แบบบริการตัวเอง ต้องทานให้หมดในตลาด ไม่สามารถนำไปทานข้างนอกได้

นั่งทานปลา และ กุ้งที่มีไม่กี่ชิ้น พบว่ามันอร่อยมาก สด หวาน ไม่คาว ขนาดว่าเป็นคนไม่ค่อยชอบทานของสด (ที่ไม่สุก) เท่าไหร่ ยังคิดว่าอร่อยมาก แนะนำว่ามา Aomori ไม่ควรพลาดที่จะมาทานข้าวหน้าปลาดิบที่ตลาดปลา Furukawa

หลังจากทานเสร็จทำการทิ้งภาชนะ และ เศษอาหารตามที่เค้าระบุไว้ ถ้าทำโต๊ะสกปรกก็ใช้ผ้าเช็ดให้สะอาดก่อนลุกออกจากโต๊ะ

ขณะที่กำลังออกจากตลาด มีรถขยะมาเก็บพอดี ได้เห็นขยะจากตลาดแพคใส่ถุงดำอย่างแน่นหนา ไม่มีน้ำหยดให้เห็น ขยะแต่ละถุงจะมีการชั่งน้ำหนัก และ จดน้ำหนักด้วย น่าจะคิดค่าขยะตามน้ำหนัก

การกำจัดขยะในญี่ปุ่น

ผู้เขียนเคยศึกษาเรื่องการกำจัดขยะในญี่ปุ่น ประเทศนี้ผลิตขยะออกมาพอสมควร จากปริมาณประชากรที่มาก และ สิ่งของต่างๆ ในญี่ปุ่น นิยมแพค ย่อยๆ หลายชั้น ใช้กระดาษ และ พลาสติกจำนวนมาก เวลาซื้อของตามร้านสะดวกซื้อ เค้าก็ให้ถุงพลาสติก ตามปกติ ยังไม่เห็นเรื่องการรณรงค์ใช้ถุงผ้า (อาจจะมีนะแต่ผู้เขียนไม่พบเจอ)

สิ่งที่ทำให้ญี่ปุ่นไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องขยะ เพราะเค้าใช้หลัก 3Rs (Reduce, Reuse, Recycle) เริ่มจากการแยกขยะ ขยะเผาไหม้ได้ (Combustible Waste) เช่นกระดาษ พลาสติก และ เผาไหม่ไม่ได้ (Non-Combustible Waste) เช่นขวดแก้ว กระป๋อง

การแยกขยะเค้าจะเข้มงวดมาก สะดวกกับการนำไปรีไซเคิล ส่วนขยะที่รีไซเคิลไม่ได้ ก็นำไปเผา ได้ผลจากการเผาขยะเป็นไฟฟ้า และ เศษที่ได้จากการเผาก็นำไปฝังบ้าง ผสมกับซีเมนต์ทำถนน และที่เด็ดสุดคือเอาไปถมทะเล อย่างเกาะโอไดบะ (โตเกียว) และ สนามบินคันไซ ก็ใช้ขยะในการถม

ส่วนขยะบางอย่างที่กำจัดยาก มีต้นทุนสูง เช่นขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือ เฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ๆ เค้าก็ใช้วิธีส่งออกขยะมายังประเทศเอเชีย รวมถึงไทยด้วย

ภาพการทิ้งขยะในครัวเรือน ถ่ายที่เมืองเกียวโต

การมาเที่ยวญี่ปุ่น สิ่งที่ตื่นตาตื่นใจไม่แพ้ที่เที่ยวก็จะเป็น รถยนต์หลากหลายแบรนด์ และหลากหลายรุ่น ที่บ้านเราไม่มีขาย อย่างคันในรูปบนเป็น Mitsubishi eK Space Custom เป็นรถ Kei car รูปทรงกล่อง เครื่องยนต์ 660 cc รถรูปทรงแบบนี้เป็นที่นิยมในญี่ปุ่น เนื่องจากราคาถูก รัฐให้การสนับสนุน

เราตั้งใจว่าจะชอปปิ้งที่เมือง Aomori เป็นการปิดท้ายการเที่ยวชมเมืองนี่ ย่านช๊อปปิ้งของเมืองจะอยู่บริเวณถนน Shinmachi-Dori เป็นถนนที่มีจุดเริ่มต้นจากสถานี Aomori เวลาที่ยืนอยู่นี้เป็นเวลา 9 โมง พบว่าร้านค้ายังไม่เปิดกัน และ ถึงเปิดก็มีเพียงไม่กี่ร้าน แบงค์หมื่นเยนในกำมือที่ตั้งใจมาจับจ่าย กลับต้องใส่คืนยังกระเป๋าตังค์

แม้แต่ Daiso ก็ยังไม่ถึงเวลาเปิดเลย!

โปรแกรมเที่ยวใน Aomori เสร็จเร็วกว่าที่กำหนด เราเลยคิดว่าจะเดินทางไป Morioka เลย กลับโรงแรมไป Check out ลากกระเป๋าไปสถานีรถไฟ และ ไปที่ห้องจำหน่ายตั๋วทำการเปลี่ยนตั๋ว Shinkansen ใหม่เป็นรอบ 11.15 น.

นั่งรถไฟไปสถานี Shin-Aomori จากนั้นนั่ง Shinkansen Hayabusa 50 ไปยัง Morioka

รถไฟตู้นี้มีที่วางกระเป๋าเดินทาง

เดินทางช่วงสายๆ รถไฟ Shinkansen ว่างมาก

11.17 น. นั่งเพลินๆ เราก็มาถึงสถานี Morioka แล้ว เมืองที่ไม่ค่อยจะมีคนเที่ยวซักเท่าไหร่

รู้จักเมืองโมริโอกะ Morioka

Morioka เป็นเมืองหลวงของจังหวัด Iwate เมืองนี้มีภูเขาล้อมรอบ และมีแม่น้ำหลายสาย ของขึ้นชื่อของเมืองนี้จะเป็นอาหารประเภทโซบะ เช่น Wanko Soba, Reimen (บะหมี่เย็น), Jajamen ฤดูกาลที่เหมาะสมกับการมาเที่ยว Morioka จะเป็นช่วงดอกซากุระบาน ช่วงกลาง-ปลายเดือนเมษายน

ที่พักในเมือง Morioka

ส่วนมากจะอยู่ใกล้สถานี Morioka ส่วนที่พักของเราเป็นโรงแรม Hotel JIN Morioka Ekimae อยู่ด้านหลังสถานี Morioka เดินจากสถานีประมาณ 400-500 เมตร ทำเลโซนที่พักอาศัย บรรยากาศเงียบ แต่ไม่เปลี่ยว จองผ่าน Rakuten Travel ราคาเพียง 6,800 เยน ชำระเงินเป็นเงินสดที่โรงแรม ตอนนั้นโรงแรมยังไม่เข้าร่วมกับ Agoda, Booking แต่ล่าสุดเห็นเข้าร่วมแล้ว

Hotel JIN Morioka ใน Agoda

Hotel JIN Morioka ใน Booking

เดินเข้าไปในโรงแรม พนักงานให้เราเซ็นใบลงทะเบียนเข้าพัก และ ชำระเงินค่าที่พักเลย

เราขอฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมก่อน เที่ยวเสร็จแล้วค่อยมา Check in

สิ่งอำนวยความสะดวกในโรงแรม มีเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ เครื่องอบผ้า และ ตู้ขายน้ำดื่ม

ส่วนร้านสะดวกซื้อ FamilyMart ก็มีอยู่ใกล้โรงแรม เดินไปทางสถานี

ใกล้กับร้าน FamilyMart เป็นร้านข้าวหน้าเนื้อ Matsuya เป็นอาหารจานด่วน ราคาประหยัดของญี่ปุ่น มีขายอยู่ทั่วประเทศ

มื้อกลางวันนี้ฝากท้องกับข้าวหน้าเนื้ออีกซักมื้อ ชามนี้ราคา 391 เยน รวมภาษีอีก 10% กลายเป็น 430 เยน รสชาติอร่อย คุ้มค่า

เที่ยวใน Morioka

เมื่อท้องอิ่มแล้วก็เริ่มต้นเที่ยวในเมือง โปรแกรมเที่ยวก็มีชมวิวภูเขาอิวาเตะ (Mt. Iwate) หนึ่งในภูเขาสวยของญี่ปุ่น, นั่งรถบัสไปชมซากุระหินแตก (Rock-breaking Cherry Tree) หน้า Morioka Court House,  ชมตึกเก่าแบบยุโรป The Bank of Iwate Red Brick Building, เข้าศาลเจ้า Sakurayama Shrine, ชมสวนสาธารณะ Morioka Castle Site Park (Iwate park) เผื่อจะมีใบไม้เปลี่ยนสี ปิดท้ายด้วยถนนสายชอปปิ้ง Odori

เราเริ่มต้นจากหน้าสถานี Morioka เดินไปยังสะพาน Asahi ที่ข้ามแม่น้ำ Kitakami ระยะทางประมาณ 300 เมตร จุดนี้มองเห็น ภูเขา Iwate ได้ชัดมาก ถ้าเป็นช่วงหน้าหนาวจะเห็นหิมะปกคลุมที่ยอดภูเขา มีความคล้ายภูเขาไฟฟูจิ ความสูงของภูเขา 2,038 เมตร ถ้าให้เทียบกับบ้านเราก็สูงประมาณ ดอยลังกาหลวง – ดอยลังกาน้อย อุทยานฯ ขุนแจ

สิ่งที่จุดประกายให้เดินทางมาถ่ายรูปในมุมนี้ก็เป็นภาพจาก japan-guide หน้า Morioka ทำการค้นหาด้วย Street view ใน Google map จนได้ภาพในมุมเดียวกัน แต่ยืนคนละสะพาน

ตำแหน่งใน Google map

ชมวิวจนพอใจแล้ว ก็เดินไปยังป้ายหยุดรถ หมายเลข 3 ที่อยู่เลยสะพานไปนิดเดียว

DenDen Mushi รถบัสวิ่งวนรอบเมือง

การเดินทางในเมือง Morioka จะมีรถบัส “เดนเดน มุชิ” でんでんむし วิ่งวนรอบเมือง ผ่านสถานที่สำคัญ เช่น The Bank of Iwate Red Brick Building, Sakurayama Shrine, Morioka Castle Site Park โดยจะมีรถวิ่งวนตามเข็ม (สีแดง) กับวิ่งทวนเข็ม (สีเขียว) ค่าโดยสารราคาเดียว 100 เยน และ บัตรเหมาวัน 300 เยน (เด็กราคา 50 และ 150 เยน ตามลำดับ) ระยะเวลาวน 1 รอบประมาณ 35 นาที

ป้ายหยุดรถ และ รถบัส จะมีคำว่า でんでんむし อ่านว่าเดนเดน มุชิ เมืองนี้ไม่ค่อยจะมีภาษาอังกฤษบอก ต้องจำภาษาญี่ปุ่นคำนี้ไว้จะได้ขึ้นถูก

ตำแหน่งป้ายหยุดรถหมายเลข 3 ที่เราขึ้นรถ

ใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 10 นาที ลงรถที่ป้ายหมายเลข 7 CHUODORI ICC HOME แล้วข้ามถนน ก็จะเจอกับ Morioka Courthouse

บริเวณหน้าตึกมีต้นซากุระ (Ishiwarizakura) อายุกว่า 400 ปี ขึ้นอยู่บริเวณรอยแตกของหินแกรนิต ถ้าเป็นช่วงซากุระบาน คงจะเป็นภาพที่สวยมาก

ถัดจากต้นซากุระไป 1 ล๊อคถนนจะเป็นศาลเจ้า Sakurayama Shrine เป็นศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ประจำเมือง และเป็นจุดชมซากุระที่สวยในเมืองนี้ ด้านหน้าศาลเจ้ามีซากุระพันธุ์ย้อย

ภายในศาลเจ้าไม่ใหญ่มาก มีชาวญี่ปุ่น เดินเข้า ออกตลอด

เซียมซี และ ป้ายขอพรในศาลเจ้า (แอบเห็น Toyota Sienta Version Japan ในรูปด้านบน)

บริเวณด้านหลังศาลเจ้าจะเป็นอาคารเก่า และ ก้อนหินขนาดใหญ่ น่าจะเป็นก้อนหินศักดิ์สิทธิ์เพราะเห็นคนขึ้นไปไหว้

เดินกลับทางด้านหน้า เห็นชาวญี่ปุ่นขัดเต่า เลยไปลองขัดบ้าง แปลภาษาญี่ปุ่นจากป้าย จะมีสุขภาพดี อายุยืนขึ้น 3 ปี 5 ปี

บริเวณข้างวัดมีมุมใบไม้เปลี่ยนสีให้ถ่ายรูปนิดหน่อย

เดินข้ามสะพาน Nakanobashi ด้านล่างเป็นแม่น้ำ Nakatsu เห็นวิวภูเขาสวยอีกแล้ว

มีแนวต้นไม้เปลี่ยนสีเป็นสีเหลือง เลียบไปกับถนน

เดินถัดไปอีกไม่ไกลก็จะเป็นอาคารเก่า Bank of Iwate Red Brick Building เป็นแลนด์มาร์ค และจุดถ่ายรูปที่สำคัญของเมือง Morioka

ตัวอาคารแบบอิฐ สถาปัตยกรรมยุโรป Renaissance ออกแบบโดย Kingo Tatsuno และ Manji Kasai ปัจจุบันไม่ได้เป็นที่ทำการของธนาคาร แต่เปิดให้นักท่องเที่ยวเขาชม ในเวลา 10.00 – 17.00 น. โดยจะปิดทุกวันอังคาร และ วันที่ 29 ธันวาคม – 3 มกราคม ภายในมีรูปถ่าย และของใช้เก่าของธนาคาร ในอาคารอยู่ในสภาพสมบูรณ์มาก

การเดินเที่ยวชมเมือง Morioka สถานที่ต่างๆ อยู่ใกล้กัน เราสามารถเดินไปได้เรื่อยๆ โดยที่ไม่ต้องขึ้นรถอีกเลย อย่างสถานที่ต่อไปบริเวณที่ตั้งปราสาทโมริโอกะ Morioka Castle Site Park ก็เดินต่อจาก Bank of Iwate ไปไม่ไกล

บริเวณนี้เคยเป็นที่ตั้งของปราสาทโมริโอกะ แต่ปราสาทได้ถูกทำลาย เหลือเพียงก้อนหินฐานปราสาท ปัจจุบันเป็นสวนสาธารณะ Iwate Park และ เป็นจุดชมซากุระ ส่วนใบไม้เปลี่ยนสีมีไม่มาก

ต้นเมเปิ้ลในสวนกำลังเปลี่ยนสี

พื้นที่ในสวนค่อนข้างกว้าง

สะพานแดงในสวน

ใบไม้แดง

ที่บริเวณด้านบนสวนสาธารณะ เป็นลานต้นซากุระกว่า 200 ต้น กำลังจะใบร่วง

ในรูปด้านล่าง บริเวณนี้เคยมีรูปปั้นของ Nanbu Toshiyuki ไดเมียว (เจ้าเมือง) คนสุดท้ายของเมือง Morioka ตัวรูปปั้นถูกหลอมนำไปใช้ในการสงคราม ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

ปัจจุบันก็เหลือเพียงฐานรูปปั้นให้เราเห็น ให้เราได้สงสัยเล่นๆ

ลาจากสวนสาธารณะปราสาทโมริโอกะ กันด้วยภาพใบต้นซากุระที่กำลังร่วง

โปรแกรมเที่ยวสุดท้ายในเมือง Morioka จะเป็นถนนสายช๊อปปิ้งโอโดริ Morioka Odori Shopping Street ถนนสายนี้เริ่มจากสวนสาธารณะปราสาทโมริโอกะ ยาวไปทางทิศตะวันตก หรือ ทางสถานี Morioka ความยาวของถนนประมาณ 400 เมตร

ของที่ขายในถนนเส้นนี้ เช่น ร้าน Daiso ร้านขายของท้องถิ่น ซุปเปอร์มาเก็ต และ ร้านอาหาร ช่วงที่ไปเดินเป็นเวลาบ่าย 3 เราพบว่าร้านเปิดน้อย คนมาเดินก็น้อย ก็ไม่ได้อะไรกลับไปอีกเช่นเคย

สุดท้ายเราก็เดินจากถนน Odori กลับโรงแรมเลย วันนี้เสียค่าเดินทางใน Morioka ไปเพียงคนละ 100 เยนเท่านั้น

โรงแรม Hotel JIN Morioka Ekimae

ขอรีวิวโรงแรมนี้แบบคร่าวๆ เผื่อมีผู้สนใจพักที่เมืองนี้จะได้อ่านรีวิวไว้เป็นข้อมูล

ห้องพักที่เราจองไว้ Standard Semi-Double Room แบบไม่สูบบุหรี่ ค่าห้อง 6,800 เยน หรือประมาณ 1,938 บาท พนักงานให้กุญแจห้อง และ นำกระเป๋าที่ฝากไว้มาให้

ทางเดินไปยังห้องพักดูสะอาด ทางเดินปูพรม

เข้าไปในห้องแล้วต้องเสียบพวงกุญแจให้ระบบไฟฟ้าทำงาน

ขนาดห้อง 14 ตารางเมตร ไม่ได้รู้สึกว่าแคบมาก มีที่ให้วางกระเป๋าโดยที่ไม่ขวางทางเดิน

ขนาดเตียงประมาณ 4 ฟุต มีชุดยูกาตะให้บนที่นอน

ปกติเป็นคนไม่ชอบใส่ชุดนอนของโรงแรม แต่การมาเที่ยวหลายวัน แล้วใช้ชุดนอนโรงแรมทำให้ประหยัดเสื้อผ้าในกระเป๋า ไม่ต้องขนมาเยอะ

ที่นอน หมอน ดูสะอาดดี

มีแผงนาฬิกาปลุก สวิตช์ควบคุมไฟ และ ระบบปรับอากาศที่หัวเตียง ระบบปรับอากาศมีเพียง L M H อุณหภูมิจะปรับไม่ได้ หลายครั้งที่เราไปญี่ปุ่นช่วงอากาศหนาว พบว่าฮีทเตอร์ในห้องอุ่นจนรู้สึกว่าร้อน ทั้งๆ ที่ตั้งอุณภูมิ 22-25 องศา เรามักจะแก้ปัญหาด้วยการปิดฮีทเตอร์ แล้วแง้มหน้าต่างให้อากาศเข้ามา ซึ่งก็เย็นกำลังดี

สิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ให้ห้อง TV, ตู้เย็น, ไดร์เป่าผม, กาต้มน้ำ พร้อมชา กาแฟ, เครื่องทำความชื้น

กาต้มน้ำแอบอยู่ในตู้

เครื่องทำความชื้นในห้อง

ตู้เย็นเล็ก

เข้ามาดูในห้องน้ำกันบ้าง เป็นห้องน้ำสำเร็จรูป พร้อมชักโครกอัตโนมัติ

ของใช้ในห้องน้ำ แชมพู ครีมนวดผม สบู่เหลว โฟมล้างหน้า-ล้างมือ มีดโดนหนวด ผ้าขัดตัว

อ่างอาบน้ำขนาดเล็ก โดยรวมห้องน้ำก็ดูสะอาดดี

รีวิวในวันนี้ขอจบเพียงเท่านี้ วันนี้เดินเยอะเมื่อยขามาก ถ้าได้แช่น้ำร้อนคงจะดีขึ้น วันพรุ่งนี้เราจะเดินทางไปยัง Sendai เที่ยวใน Yamadera วัดที่อยู่บนภูเขาสูง และเที่ยวในเมือง Yamagata ติดตามกันในตอนต่อไปนะครับ

อ่านตอนต่อไป เที่ยววัด Yamadera วัดงามบนภูเขา ชมปราสาท Yamagata

Post Views 1745

admin

นักเขียนประจำ emagtravel.com

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *