เที่ยวฮิเมจิ ในหนึ่งวัน ปราสาท Himeji สวน Kokoen ชอปปิ้งถนน Miyukidori
ในภูมิภาคคันไซ ผมทยอยเที่ยวเมืองต่างๆ ไล่ตั้งแต่โอซาก้า เกียวโต นารา โกเบ และ เมืองสุดท้ายที่เลือกเก็บคือฮิเมจิ ไม่ใช่ว่าเมืองนี้ไม่น่าสนใจถึงได้เลือกเที่ยวเป็นเมืองสุดท้าย แต่ผมรอ รอวันที่ปราสาทฮิเมจิบูรณะเสร็จสมบูรณ์ จะได้ไปเที่ยวฮิเมจิแบบครบๆ ชมประสาทที่เค้าว่าสวยงามอันดับสองของญี่ปุ่น
ในรีวิวนี้จะพาไปเที่ยวฮิเมจิใน 1 วัน สถานที่ไปก็มี ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle), สวนโคโคเอง (Kokoen Garden) และชอปปิ้งที่ถนนมิยุคิโดริ (Miyukidori)
การเดินทางจากโอซาก้าไปฮิเมจิ
- รถไฟ JR : ขึ้นรถไฟที่ JR Osaka ขบวน JR Special Rapid Service for HIMEJI ไปลงสถานี JR Himeji ใช้เวลาประมาณ 62 นาที ค่าโดยสารขาละ 1,490 เยน
- รถไฟ Shinkansen : ขึ้นรถไฟที่ Shin-Osaka ขบวน Nozomi*, Sakura, Hikari ไปลงสถานี JR Himeji ใช้เวลาประมาณ 30-42 นาที ค่าโดยสารขาละ 3,740 เยน วิธีนี้ใช้เวลาเดินทางไม่นาน เหมาะสำหรับผู้มี JR Pass สามารถนั่ง Shinkansen Sakura หรือ Hikari ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
หมายเหตุ. Nozomi* ไม่สามารถใช้ JR Pass ได้
ผู้ที่เดินทางจากโอซาก้า หรือเกียวโต ที่ไม่มี Pass ใดๆ เลย แนะนำให้ซื้อ JR Kansai Area Pass 1 day ราคา 2,300 เยน ใช้นั่งรถไฟ JR ได้ (แต่นั่ง Shinkansen ไม่ได้) จะประหยัดกว่าจ่ายเป็นเที่ยวๆ
ในรีวิวนี้เราเริ่มต้นที่สถานี JR Osaka นั่งรถไฟ JR Special Rapid Service for HIMEJI
มองป้าย LED แล้วต่อแถวรอขึ้นรถไฟตาม Track ที่ระบุในป้าย
นั่งรถไฟชมวิวไปเรื่อยๆ 9 โมงเราก็มาถึงสถานี JR Himeji
ก่อนที่จะเที่ยวในฮิเมจิ ขอเล่าถึงเมืองนี้อย่างคร่าวๆ ไว้เป็นความรู้รอบตัว
ฮิเมจิ (Himeji)
เมืองฮิเมจิอยู่ในจังหวัดเฮียวโกะ (Hyogo) เป็นเมืองที่อยู่ทางฝั่งตะวันตกของโอซาก้า อยู่ติดกับเมืองโกเบ มีระยะทางจากจากโอซาก้าเกือบ 100 กิโลเมตร สามารถเดินทางจากโอซาก้ามาเที่ยวฮิเมจิแบบเช้าไป – เย็นกลับได้
สิ่งที่คนทั่วไปนึกถึงเมื่อมาเที่ยวฮิเมจิ คือ ปราสาทฮิเมจิ หรือปราสาทนกกระยางขาว เป็นประสาทเก่าแก่ สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1400 ปราสาทแห่งนี้รอดพ้นจากการถูกโจมตีในสมัยสงครามโลก ปัจจุบันได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
ถัดจากปราสาทฮิเมจิไปไม่ไกล มีสวนโคโคเอง (Kokoen Garden) เป็นสวนสไตล์ญี่ปุ่น สวยงามไม่แพ้สวนในศาลเจ้าต่างๆ ในเกียวโต ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนสามารถชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวนนี้ได้
จุดถ่ายรูป – สถานที่น่าสนใจ
- จุดชมวิวบนสถานี JR Himeji หรือ Castle View มองเห็นวิวปราสาทฮิเมจิได้ชัดเจน จุดชมวิวนี้เป็นพื้นที่สาธารณะ สามารถเดินขึ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องแตะบัตรเข้าสถานี
- ประติมากรรมเชิงศิลป์ รูปปั้นที่ทางเท้าระหว่าง สถานี JR Himeji กับปราสาทฮิเมจิ
- สวนโคโคเอง (Kokoen Garden) สวนสไตล์ญี่ปุ่น สถานที่ถ่ายหลังย้อนยุค
- เขตร้านค้า ย่านชอปปิ้ง ถนนมิยุคิโดริ (Miyukidori)
เราเดินออกจากสถานี JR Himeji มุ่งหน้าไปทางไปทางปราสาทฮิเมจิ แล้วเดินหันหลังกลับมาจะเจอกับจุดชมวิวบนสถานี JR Himeji จุดชมวิวนี้อยู่ที่ชั้น 2 เดินขึ้นไปได้เลย
วิวจากจุดนี้เห็นปราสาทอยู่ตรงกลาง ด้านซ้ายและขวาเป็นอาคาร ร้านค้า ช่วงเช้าหรือเย็นจะเป็นช่วงที่ถ่ายรูปสวย แสงไม่แข็งเหมือนถ่ายตอนกลางวัน
ถ่ายรูปที่จุดชมวิวกันเต็มอิ่มแล้ว เราจะเดินไปยังปราสาท ภาพที่ตามองเห็นเหมือนปราสาทจะอยู่ไม่ไกล แต่ความเป็นจริงแล้วห่างจากสถานี 1 กิโลเมตรกว่า
ด้วยอากาศที่ไม่ร้อน มีร่มเงาต้นแปะก๊วยตลอดทางเดินเท้า ระยะทางเท่านี้ก็เดินได้สบายๆ ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน – ต้นธันวาคม ใบแปะก๊วยจะเป็นสีเหลือง มองดูแล้วสวยงาม
ประติมากรรมเชิงศิลป์ รูปปั้นที่ทางเท้ามีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ บ่งบอกถึงเมืองฮิเมจิ เป็นเมืองที่มีศิลปะ
รูปนี้อาจจะดู 18+ ไปซะหน่อย มองเป็นศิลปะไปนะครับ
รูปปั้นชะชิโฮะโกะ เป็นสัตว์ในตำนานญี่ปุ่น หัวเป็นเสือ ร่างเป็นปลาคาร์ฟ
แม้แต่ฝาท่อระบายน้ำก็ยังเป็นรูปนกกระยาง สัญลักษณ์ของเมืองฮิเมจิ
จากการที่เดินไป – แวะไป เราใช้เวลา 25 นาที ก็มาถึงกำแพงปราสาทด้านนอก
วันที่เราไปเป็นวันอาทิตย์ ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี มีนักท่องเที่ยวเยอะเป็นพิเศษ
ประตูทางเข้าปราสาทต้องต่อแถวกันเข้าไปเลย
ลานกว้างๆ ก่อนถึงปราสาท เป็นมุมถ่ายรูปที่เห็นปราสาทฮิเมจิได้ชัด
การจะเข้าไปชมในตัวปราสาทจะต้องเสียค่าเข้า มีตั๋วจำหน่าย 2 แบบ
- เข้าชมภายในปราสาทฮิเมจิ อย่างเดียว 1,000 เยน
- เข้าชมภายในปราสาทฮิเมจิ + สวนโคโคเอง (Kokoen Garden) 1,040 เยน
ผมมีคำแนะนำในการซื้อตั๋วดังนี้ครับ ถ้ามีเวลาในการชมภายในปราสาทน้อยกว่า 2 ชั่วโมง ไม่ควรเข้าครับ การเข้าชมด้านในใช้เวลามากๆ มากกว่าทุกปราสาท
และถ้ามีเวลาตั้งแต่ 3 ชั่วโมง แนะนำให้ซื้อตั๋วรวม (ปราสาทฮิเมจิ + สวนโคโคเอง) เพิ่มเงินเพิ่มเพียง 40 เยน ก็จะได้ชมสวนโคโคเอง สวนสไตล์ญี่ปุ่น ภายในสวยมาก
ผมเลือกชม 2 อย่างเลย (ปราสาทฮิเมจิ + สวนโคโคเอง) ตั๋วรวมจะขายกับพนักงานเท่านั้น ไม่มีขายที่ตู้อัตโนมัติ
ก่อนที่จะเข้าไปด้านในปราสาทเค้าจะแจกบัตรสีขาว – แดง บัตรใบนี้ใช้ในการจำกัดคนเข้าปราสาทในแต่ละวัน ให้เก็บบัตรใบนี้ไว้คนละใบ ใช้คู่กับตั๋วที่เสียเงินซื้อ
ทางเดินเข้าไปยังปราสาทเป็นทางเดินที่ซับซ้อน เพื่อไม่ให้ข้าศึกเข้าถึงปราสาทได้ง่าย
เดินจากจุดขายตั๋วไปไม่ไกล ก็จะพบกับหางแถวของนักท่องเที่ยวที่เข้าชมปราสาท หางแถวยาว และ คนเยอะอย่างที่ไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน วัดทองในเกียวโตช่วงพีคๆ ก็ยังไม่เยอะเท่านี้
แถวค่อยๆ ขยับไปอย่างช้าๆ ก่อนที่จะเข้าถึงตัวปราสาทจะมีพนักงานตรวจตั๋ว และ เก็บใบขาว – แดง ที่ใช้จำกัดคนเข้าชม
รวมแล้วใช้เวลาอยู่ในแถว 1 ชั่วโมงพอดี นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมต้องมีเวลาในการชมปราสาทอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle)
เป็นปราสาทที่มีประวัติการสร้างมายาวนาน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1333 เริ่มแรกสร้างเป็นป้อมปราการ ป้องกันข้าศึก อยู่บนเนินเขาฮิเมะยามา (Himeyama) แล้วมีการต่อเติมเป็นตัวปราสาทมาเรื่อยๆ จนถึงปี ค.ศ. 1601 Ikeda Terumasa เป็นผู้สร้างตัวปราสาทคนสุดท้าย เป็นปราสาทที่มีหน้าตาอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
ในปี ค.ศ. 1945 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการโจมตีทางอากาศ เมืองฮิเมจิได้รับความเสียหายมาก แต่ตัวปราสาทฮิเมจิกลับไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ปราสาทฮิเมจิจึงเป็นปราสาทที่เก่าแก่ ดั้งเดิม ไม่ใช่ปราสาทสร้างใหม่ มีโครงสร้างหลักเป็นของเดิมที่อายุกว่า 400 ปี และในปี ค.ศ. 1993 ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
ปี ค.ศ. 2009-2015 มีการซ่อมภายในปราสาทครั้งใหญ่ และหลังจากนั้นถึงได้เปิดให้เข้าชม
การเข้าชมในปราสาทจะต้องถอดรองเท้าใส่ในถุงพลาสติกและถือติดตัวไปตลอด
ภายในปราสาทจะมีอยู่ 7 ชั้น ได้แต่ชั้นใต้ดิน และชั้น 1-6 แต่ถ้ามองจากภายนอกจะมองเห็นว่ามี 5 ชั้น
โครงสร้างของปราสาททำจากไม้ท่อนใหญ่
ชั้นแรกจะเป็นตู้โชว์วัสดุที่ใช้ในการสร้างปราสาท เช่นตะปู ชิ้นงานที่ใช้ในการตกแต่งรอบปราสาท
วิวจากหน้าต่างในตัวปราสาทจะเห็นเมืองฮิเมจิ
สภาพภายในปราสาทยังคงความดั้งเดิมไว้อยู่ เป็นปราสาทโล่งๆ ไม่มีข้าวของเครื่องใช้
การเข้าชมในแต่ละชั้น เดินชมได้สบายๆ แต่ถ้าขึ้นบันไดไปยังชั้นถัดไป จะพบกับคอขวดบริเวณบันได คนจำนวนมากต่อแถวขึ้นบันได
บันไดในประสาทจะมีขนาดเล็กและชัน ขัดกับภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูใหญ่ สง่า
เราใช้เวลาจากชั้น 1 ไปถึงชั้น 6 ประมาณ 35 นาที ไม่ใช่ว่ามีของให้ชมเยอะ แต่ทว่าเสียเวลากับการรอคิวขึ้นบันไดเยอะมากกว่า
ที่ชั้น 6 รอขึ้นบันไดนานเป็นพิเศษเพราะไม่สามารถสวนกันได้ ต้องผลัดกันขึ้น ผลัดกันลง โดยจะมีเจ้าหน้าที่คอยจัดคิวการขึ้น – ลง ชั้นนี้เค้าบอกว่าคงสภาพเดิมไว้อยู่ 400 ปีที่แล้วเป็นยังไง วันนี้ก็ยังเหมือนเดิม
พื้นที่บนชั้น 6 เล็กนิดเดียว มีศาลเจ้าเล็กๆ อยู่ ชื่อว่าศาลเจ้าโอซากะเบะ จินจะ (Osakabe-jinja Shrine) คนญี่ปุ่นมักมาสักการะ
สักการะเสร็จก็ลงชั้น 5 ให้นักท่องเที่ยวชุดต่อไปขึ้นมา
วิวจากชั้น 6 มองเห็นได้ไกล เห็นแนวภูเขาที่ล้อมรอบเมืองฮิเมจิ ที่ประเทศญี่ปุ่น ความเจริญ กับ ธรรมชาติสามารถอยู่ร่วมกันได้
หน้าต่างแต่ละบานจะมีตะแกรงลวดไว้กันอันตรายจากสิ่งของตก การถ่ายรูปผ่านหน้าต่างก็จะเห็นเส้นลวดติดเข้ามาในภาพ
รูปปั้นปลาที่หลังคาปราสาท มีชื่อว่า “ชะชิโฮะโกะ” (Shachihoko : 鯱) เป็นสัตว์ในตำนานญี่ปุ่น หัวเป็นเสือ ร่างเป็นปลาคาร์ฟ เชื่อว่ามีอำนาจทำให้ฝนตกได้ ไว้ป้องกันปราสาทจากไฟไหม้
ในรูปด้านบนเราจะเห็นแท่นที่ยกระดับจากพื้นสูงชนขอบหน้าต่าง ทำไว้เพื่อโยนหินลงใส่ข้าศึกที่จะบุกรุกปราสาท และไว้คอยสังเกตการณ์
หน้าต่างแต่ละบานจะไห้วิวที่ต่างกันไป อย่างหน้าต่างบานนี้หันไปทาง JR Himeji ที่อยู่สุดแนวต้นแปะก๊วย ไกลไม่ใช่เล่นเหมือนกัน
ขาลงจากชั้น 6 มายังชั้น 1 จะไม่ใช้เส้นทางเดิมเหมือนขาขึ้น พอมีอะไรให้ชมนิดหน่อย
เราเดินออกทางประตูฝั่งตะวันตก ออกมาก็จะเจอกับลานกว้างๆ ที่เรียกว่า HonMaru
บริเวณนี้เป็นจุดถ่ายรูปที่เห็นปราสาทได้ชัด แต่มักจะติดคนเข้ามาด้วย
จากรูปบนจะเห็นว่าฐานปราสาททำจากหินเรียงกันสูงมาก
เราเดินออกตามทางจนมาเจอกับบ่อน้ำ มีคนมุงอยู่พอสมควร บ่อน้ำนี้มีชื่อว่า Okiku Ido (Okiku well) เป็นตำนานของ “ผีนับจาน” ในประเทศญี่ปุ่น
ผีนับจาน
เป็นเรื่องเล่า กึ่งเรื่องจริง มีอยู่ประมาณ 3 ตำนาน เราจะเล่าเพียงตำนานเดียว ตามข้อมูลที่ติดไว้ตรงหน้าบ่อน้ำ ซึ่งเป็นตำนานที่เกี่ยวข้องกับปราสาทฮิเมจิ
เมื่อประมาณปี ค.ศ. 1500 Aoyama เป็นผู้สำเร็จราชการของฮิเมจิ ได้วางแผนกับ Danshiro จะฆ่า Norimoto เจ้าเมืองฮิเมจิ แผนการนี้ได้ยินถึงหู Okiku คนรับใช้ในบ้าน Aoyama
Okiku ได้บอกให้เจ้าเมืองฮิเมจิหนีออกไปก่อนที่จะถูกฆ่า แผนการฆ่าจึงล้มเหลว พอ Danshiro ได้รู้ว่า Okiku เป็นผู้นำแผนไปบอก จึงได้วางแผนที่จะกำจัด Okiku
ด้วยการให้ Okiku ดูแลจาน 10 ใบที่เป็นสมบัติล้ำค่าของตระกูล Aoyama และได้แกล้งเอาจาก 1 ใบไปซ่อนแล้วใส่ร้ายว่า Okiku ขโมยจาน ต่อมา Danshiroได้จับ Okiku โยนลงบ่อน้ำ หวังฆ่าให้ตาย
หลังจาก Okiku ตาย ผู้คนมักจะได้ยินเสียง Okiku ดังมาจากบ่อน้ำ เป็นเสียงกำลังนับจาน “1 ใบ … 2 ใบ … 3 ใบ …”
Okiku Ido (Okiku well)
บ่อน้ำโอคิคุ (Okiku well) ของจริงที่เห็นนั้นเป็นบ่อลึกมองไม่เห็นถึงด้านล่าง มีตะแกรงกันตกที่ปากบ่อ
มุมกำแพงหิน มีการก่อสร้างเพื่อป้องกันข้าศึกปืนขึ้นมา ด้วยการเพิ่มส่วนโค้ง (Fan curve) ที่ปลายกำแพงด้านบนทำให้กำแพงชันขึ้น
บ่อน้ำรอบปราสาทฮิเมจิ เดิมทีมีอยู่ด้วยกัน 33 บ่อ แต่ตอนนี้เหลืออยู่ 11 บ่อ แต่ละบ่อลึก 20-30 เมตร เป็นแหล่งน้ำใช้ในปราสาท ป้องกันการใส่ยาพิษจากแหล่งน้ำนอกปราสาท
ขาเดินออกจากปราสาท เราจะได้เห็นปราสาทในมุมต่างๆ
เห็นแมวตัวนี้นั่งนิ่งๆ อยู่เลยจับมาเป็นแบบ แมวที่ญี่ปุ่นไม่ได้เจอได้ง่ายๆ และไม่ค่อยเห็นแมวจรจัด
บริเวณกำแพงด้านนอกมีคูน้ำล้อมรอบ สมัยก่อนไว้ป้องกันไม่ให้ข้าศึกบุกเข้ามาง่ายๆ
เราเสร็จจากการชมปราสาทฮิเมจิที่เวลาเที่ยง นิดๆ พักทานข้าวกลางวัน แล้วช่วงบ่ายไปชมสวนโคโคเอง กันต่อ
สวนโคโคเอง จะอยู่ด้านนอกปราสาท ที่หลังบัตรเข้าชมจะมีแผนที่บอกไว้ หรือจะเดินตามป้ายบอกทางไปก็ได้
ผู้ที่ไม่ได้ซื้อตั๋วเข้าชมแบบรวม (ประสาทฮิเมจิ + สวนโคโคเอง) จะต้องเสียค่าเข้า 300 เยน
สวนโคโคเอง (Kokoen : 好古園)
เป็นสวนสไตล์ญี่ปุ่น ตั้งอยู่ไม่ไกลกับปราสาทฮิเมจิ สวนแห่งนี้ไม่ได้เป็นสวนเก่า เปิดให้ชมเมื่อปี ค.ศ. 1992 ภายในสวนโคโคเอง แบ่งเป็นสวนย่อยๆ 9 สวน สร้างตามสไตล์เอโดะ
ภายในมีน้ำตกจำลอง สระน้ำ ร้านอาหาร มีพิธีการดื่มชาตามแบบฉบับคนญี่ปุ่น ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน – ต้นเดือนธันวาคม สามารถชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวนนี้ได้
น้ำตกจำลอง อยู่ใต้ต้นเมเปิ้ล
สระน้ำนี้มีปลาคาร์ฟหลากสีอยู่ด้วยกัน 250 ตัว
มุมสวยๆ ที่นักท่องเที่ยวนิยมถ่ายรูปจะเป็นบนสะพาน
ชาวญี่ปุ่นบางคนแต่งกายด้วยชุดกิโมโน ดูเข้ากับสวน
ใบไม้เปลี่ยนสี
ศาลานั่งพักในสวน
เราใช้เวลาชมสวนไปประมาณ 40 นาที สวนนี้สวยจริง พื้นที่ก็กว้าง มีมุมให้ถ่ายรูปเยอะ เกินจะคุ้มกับราคา 40 เยนที่จ่ายเพิ่มกับค่าเข้าปราสาท
ที่ริมถนนด้านนอกปราสาทมีรถลากให้บริการด้วย ที่ไหนมีนักท่องเที่ยว ย่อมมีรถลากให้บริการ ราคาแพงใช้ได้เหมือนกัน
สถานที่สุดท้ายของทริปฮิเมจิจะเป็นย่านชอปปิ้ง ถนนมิยุคิโดริ (Miyukidori) ถนนเส้นนี้ จะอยู่เยื้องกับปราสาทฮิเมจิ ยาวมาถึงสถานี JR Himeji เลย เป็นย่านชอปปิ้งของเมืองนี้ ของที่ขายก็มีเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ร้ายยา เครื่องสำอาง ร้าน 100 เยน ฯลฯ
ร้านค้าจะอยู่สองฝั่งซ้าย – ขวา ส่วนถนนตรงกลางมีหลังคา ทางเดินกว้าง
ร้าน Daiso ที่ญี่ปุ่นขาย 100 เยน + ภาษี 8 เยน หรือประมาณ 35 บาท ถูกกว่าบ้านเราเกือบครึ่ง และมีของบางอย่างที่ไม่เหมือนบ้านเรา
ดอกไม้เมืองหนาว เช็คราคาแล้วแพงกว่าบ้านเรา และการที่จะซื้อต้นไม้จากญี่ปุ่นกลับบ้านเรา มีความเสี่ยงที่จะไม่ผ่านศุลกากร อาจจะต้องเสียภาษีเพิ่ม หรือต้องทิ้ง
สุดถนน Miyukidori จะเป็นร้าน Matsumoto Kiyoshi ร้านเครื่องสำอางยอดนิยมที่สาวไทยทุกคนที่มาญี่ปุ่นต้องรู้จัก จากจุดนี้เดินไปอีกนิดก็จะเป็นสถานี JR Himeji แล้ว
ที่นั่งเล่นข้างสถานี JR Himeji
ห้าง Ushio, Festa
ภารกิจเที่ยวฮิเมจิใน 1 วันจบที่เวลา 15.00 น. หลังจากนี้เราจะนั่งรถไฟจากสถานีฮิเมจิ กลับสถานีโอซาก้า ช่วงเวลานี้คนขึ้นรถไฟไม่เยอะ นั่งแบบสบายๆ
ถ้าขึ้นรถไฟแล้วเห็นเบาะที่มีสัญลักษณ์คนชรา, คนท้อง, คนพิการ, ผู้หญิงที่อุ้มเด็ก เบาะนี้คือ Priority seat ถ้ามีคน 4 ประเภทที่กล่าวมา ขึ้นมายังขบวนรถไฟ คนที่นั่งเบาะนี้ต้องลุก
16.00 น. เราก็มาถึงสถานี JR Osaka รีวิวก็ขอจบเพียงเท่านี้
สรุปโดยรวมเมืองฮิเมจิ
เป็นเมืองที่น่าเที่ยวในภูมิภาคคันไซ เที่ยวง่าย เดินทางด้วยเท้าสองข้างเท่านั้น ไม่ต้องนั่งรถบัสเหมือนเมืองอื่นๆ มีปราสาทฮิเมจิเป็นไฮไลต์ของเมืองนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเราๆ ดูจะไม่ค่อยอินกับความยิ่งใหญ่ของปราสาท ต่างกับคนญี่ปุ่น ภายในประสาทก็เป็นปราสาทโล่งๆ ใช้เวลารอคิวก่อนเข้าปราสาท และภายในปราสาทค่อนข้างมาก อาจจะเป็นเพราะช่วงที่เราไปเป็นวันหยุด และปราสาทเพิ่งจะเปิดให้เข้าชมหลังจากปิดปรับปรุงไป 6 ปี ทำให้มีนักท่องเที่ยวเยอะ
สวนโคโคเอง สวนนี้สวยงามเกินคาดหมาย มีมุมสวยๆ เยอะ ต้นไม้ดูแลดี ช่วงใบไม้เปลี่ยนสีจะสวยเป็นพิเศษ มาเที่ยวฮิเมจิไม่ควรพลาดสวนนี้
สรุปค่าใช้จ่ายทริปฮิเมจิ ใน 1 วัน
- ค่าอาหาร 2 มื้อ 1,400 เยน
- ค่าเข้าชมภายในปราสาทฮิเมจิ + สวนโคโคเอง (Kokoen Garden) 1,040 เยน
- ค่าเดินทางจากโอซาก้า 2,980 เยน
- อื่นๆ 300 เยน
รวมค่าใช้จ่ายคนละ 5,720 เยน
Post Views 59322