เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา ดอยอินทนนท์
- เชียงใหม่ / เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา ดอยอินทนนท์
บนดอยอินทนนท์ มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ที่คนนิยมไปเดิน อยู่ 2 เส้นทาง ได้แก่ 1. เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา และ 2. เส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน สองเส้นทางนี้มีระยะทางที่แตกต่างกันพอสมควร เส้นทางฯ อ่างกาเป็นเส้นทางสั้นๆ ใช้เวลา 30-60 นาที ส่วนเส้นทางฯ กิ่วแม่ปานใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง สำหรับรีวิวนี้เราจะพาไปที่ เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา หรือ อ่างกาหลวง
- ที่ตั้งของเส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา
อยู่บริเวณยอดดอยอินทนนท์ ถ้าเริ่มต้นจากยอดดอยฯ ให้เดินมาทางป้ายสูงสุดแดนสยาม ผ่านสถูปเจ้าอินทวิชยานนท์ เดินมาจนถึงทางออก ฝั่งตรงข้ามจะเป็นทางเข้าเส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา
- รู้จักกับอ่างกา
“อ่างกา” เป็นแอ่งน้ำขนาดสิบกว่าไร่ อยู่บริเวณยอดดอยอินทนนท์ มีน้ำท่วมขังตลอดทั้งปี ที่มาของชื่อ “อ่างกา” มีอยู่ประมาณ 3 ที่มา เช่นมีหินคล้ายรูปกาอยู่บริเวณนี้, ในสมัยก่อนเคยมีอีกามาเล่นน้ำบริเวณแอ่งน้ำ, และอันสุดท้าย เพี้ยนมาจากภาษาชาวเขา “อั่งกา” ที่แปลว่าภูเขาใหญ่ ในอดีตดอยอินทนนท์ก็เคยมีชื่อว่า “ดอยอ่างกา” ด้วย
ระบบนิเวศน์ของอ่างกาเป็นระบบนิเวศน์ที่ไม่เหมือนที่ไหน เนื่องจากอยู่บนที่สูงกว่า 2,500 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีน้ำท่วมขังตลอดทั้งปี มีหมอกปกคลุมตลอด อุณหภูมิเฉลี่ย 12 องศา มีความชื้นสูง พืชที่อยู่ในบริเวณนี้ก็จะมีพืชที่หาชมได้ยาก อย่างเช่น ข้าวตอกฤาษี กุหลาบพันปี บนต้นไม้ใหญ่จะถูกปกคลุมไปด้วยมอส เฟิร์น จนแทบหาที่ว่างตามกิ่งไม้ไม่ได้ และยังมีนกป่า นกชอบอากาศหนาว นกประจำถิ่นที่หาดูได้ยาก
ส่วนสัตว์ประจำถิ่นที่หาได้ยากก็มีอึ่งกรายอินทนนท์ และ กะท่างภูพิงค์
- เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา
ก่อนที่จะเข้าไปในเส้นทางศึกษาธรรมชาติ แนะนำให้ดูแผนที่ที่หน้าทางเข้าก่อน เส้นทางนี้มีลักษณะเป็นวงกลม มีเพียงเส้นทางไปศาลเจ้ากรมเกียรติ์ที่แยกออกไปแล้วต้องเดินกลับมาทางเดิน ระยะทางโดยรวมของเส้นทางนี้ประมาณ 320 เมตร
เส้นทางนี้สำรวจวางแนวและออกแบบเส้นทางเดินโดย คุณไมเคิล แมคมิลแลน วอลซ์ นักสัตววิทยาและอาสาสมัครชาวแคนาดาประจำอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ เมื่อปี พ.ศ. 2534-2536 ต่อมาสภาพทางเดินเปลี่ยนแปลงไป ทางอุทยานฯ และ มูลนิธิไทยรักษ์ป่า จึงได้ปรับปรุงเส้นทางใหม่ ควบคู่กับการออกแบบอารยสถาปัตย์ เป็นเส้นทางที่เดินง่าย ระยะทางสั้นๆ พื้นที่ทางราบ ไม่อันตราย ไม่มีขั้นบันไดให้ปวดเข่า
หลังจากที่ได้รู้จักกับอ่างกากันแล้วก็ได้เวลาที่เราจะเดินศึกษาธรรมชาติกัน ทันทีที่เข้าไปในอ่างกา รู้สึกได้ถึงอากาศที่เย็น และชื้นกว่าบริเวณด้านนอก มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมจนแสงแดดส่องไม่ถึงพื้น ทางเดินช่วงแรกนั้นเป็นพื้นดินธรรมดา ถ้าเลยตรงนี้ไปจะเป็นทางเดินไม้ยกระดับ
เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว และเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนธรรมชาติจนเกินไป เราจำเป็นต้องเดินตามเส้นทาง
ทางเดินไม้ยกระดับจากพื้น ช่วงที่ไปนั้นเป็นต้นเดือนตุลาคม ช่วงปลายฝน ต้นไม้ดูเขียว อุดมสมบูรณ์ อากาศเย็นสบาย ไม่หนาวมาก ที่เห็นพื้นไม้ดูเปียกนั้นเป็นความชื้นในอากาศไม่ได้เปียกจากฝนตก
เดินเข้าไปไม่ไกลก็เจอกับ “ข้าวตอกฤาษี” เป็นพืชจำพวกมอส แต่มีขนาดใหญ่กว่ามอสทั่วไป หาดูได้ยากมาก เพราะจะเจริญได้ดีในระดับความสูง 2,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล ในที่มีความชื้นสูงซึ่งถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบ ชอบอยู่ตามหุบเขาที่แสงส่องลงไปไม่ถึง
1 ช่อมีขนาดประมาณ หัวนิ้วโป้ง ขึ้นปกคลุมตามพื้นดิน ใต้ต้นไม้ใหญ่
ในอดีต ข้าวตอกฤาษี เคยมีจำนวนลดลง เพราะมีการสูบน้ำบริเวณอ่างกาไปใช้ประโยชน์ ทำให้น้ำแห้งลงอย่างมาก ระบบนิเวศน์เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ปัจจุบันมีการใช้น้ำจากอ่างกาลดลง ข้าวตอกฤาษีก็เริ่มจะมีมากขึ้น
ในรูปด้านล่างเป็นต้นกุหลาบพันปี
กุหลาบพันปี เป็นพืชที่แตกต่างกับกุหลาบพันธุ์ทั่วไป ชอบขึ้นบริเวณผาหิน มีหน้าดินน้อย มีอากาศหนาวเย็นและชื้น คนท้องถิ่นเรียกกุหลาบพันปีชนิดที่มีดอกสีแดงว่า “คำแดง” พันธุ์นี้พบที่ดอยอินทนนท์ที่เดียวเท่านั้น ลักษณะลำต้นของกุหลาบพันปี เป็นต้นไม้พุ่มขนาดกลาง มีพันธุ์ดอกสีขาวและดอกสีแดง ออกดอกในช่วงเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์
จุดที่เราสามารถชมอ่างกาได้อย่าง 360 องศาจะเป็นจุดที่ 6 มีทางเดินยื่นเข้าไปในป่า ล้อมรอบด้วยต้นไม้ใหญ่ และธรรมชาติ
เส้นทางบางช่วงจะเป็นทางเดินคล้ายอุโมงค์ต้นไม้
ด้วยธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ สิ่งมีชีวิตที่อ่างกาจึงไม่ได้มีแต่ต้นไม้ ยังมีนกป่า นกหายากหลายชนิด จากการสำรวจที่นี่มีนกถึง 385 ชนิด จาก 978 ชนิดที่พบในประเทศไทย ถือว่าเป็นแหล่งดูนกที่ดีแห่งหนึ่งในประเทศไทย ถ้าอยากจะได้รูปนกกลับไป ต้องรอด้วยความใจเย็น หูต้องฟังเสียงนกร้อง ตาต้องมองหาตามแหล่งเสียง
ถ้ามีกล้อง DSLR ที่ดัน iso ได้ 3200 ขึ้นไป + เลนส์เทเลระยะ 200 mm ขึ้นไป ก็น่าจะถ่ายรูปนกได้ไม่ยาก นกมีค่อนข้างเยอะ แต่บินค่อนข้างไว ไม่ค่อยอยู่นิ่งๆ และอยู่บนกิ่งสูงๆ
รูปนี้ถ่ายด้วยกล้อง Canon 500D + Lens Canon 55-250 IS
แนะนำสำหรับคนชอบดูนก ให้ซื้อกล่องส่องทางไกล กล้องดูนก ราคาอันละ 185 บาท พิกัดซื้อใน shopee https://shp.ee/393y98x
การเดินสำรวจธรรมชาติ ควรหยุดพักเป็นจุดๆ เพื่อสำรวจต้นไม้ พืชพรรณรอบตัว อ่านป้ายให้ความรู้ตามจุดต่างๆ ฟังเสียงนก ส่องดูนกบนยอดไม้
จุดที่ 10 จะมีทางแยกไปศาลเจ้ากรมเกียรติ์ เส้นทางนี้ไม่ได้อยู่ในวงกลมจะต้องย้อนออกมาทางเดิม แต่ก็เป็นเส้นทางสั้นๆ แนะนำให้เดินเข้าไปครับ
ศาลเจ้ากรมเกียรติ์ ศาลนี้สร้างขึ้นเป็นอนุสรณ์แต่ พล.อ.อ เกียรติ์ มังคละพฤกษ์ และ นายนิพนธิ์ บุญทรารมณ์ ผู้ทำคุณประโยชน์ ให้แก่กองทัพอากาศ และประเทศชาติ ซึ่งประสบอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตก และถึงแก่กรรม ณ ที่นี้ หลังจากเสร็จภารกิจสำรวจที่ตั้ง ศูนย์ควบคุมและรายงานดอยอินทนนท์ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ.2515
เส้นทางเดินจากศาลเจ้ากรมเกียรติ์ ไปยังเส้นทางวงกลม มีขั้นบันไดนิดหน่อย
ลำธารเล็กๆ ที่หล่อเลี้ยง ให้ความชุ่มชื้นในอ่างกา เห็นมีคนโยนเหรียญลงไปด้วย เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ
แวะถ่ายรูปก่อนออก
เดินไม่นานก็เจอกับทางออก เป็นจุดข้างๆ กับทางเข้า รวมแล้วใช้เวลาประมาณ 40 นาที รู้สึกเหมือนยังไม่อยากออกเลย ได้เจอต้นไม้เขียวๆ ฟังเสียงนกร้อง อากาศเย็นสบาย แนะนำว่าใครมีโอกาสไปดอยอินทนนท์ ไม่ควรพลาดเส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา ครับ
ที่พักใกล้ดอยอินทนนท์ |
ทัชสตาร์ รีสอร์ท
รีสอร์ทอยู่ใกล้ๆทางขึ้นดอยอินทนนท์ ที่พักสวย บรรยากาศดี เงียบสงบ สะอาด สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องพักมีให้ครบ พนักงานบริการดี มีน้ำแร่ธรรมชาติให้อาบ หรือจะแช่ตัวในบ่อส่วนกลางก็ได้ |
|
ดอยอินทนนท์ วิว รีสอร์ท
ใกล้ทางขึ้นดอยอินทนนท์ บรรยากาศเงียบสงบ ไม่พลุกพล่าน มีจักรยานให้ปั่นเล่นในรีสอร์ท เจ้าของบริการดีเป็นกันเอง |
|
แม่กลางบานเย็นฮิลล์
ห้องกว้างขวาง สะอาด บรรยากาศดี มีสนามหญ้ากว้างเหมาะให้เด็กวิ่งเล่นได้ ด้านหน้าติดน้ำตกแม่กลาง ด้านหลังติดสวนลำไย ด้านข้างติดทุ่งนา ติดชมชุนไม่เปลี่ยว เงียบสงบ เหมาะสำหรับพักผ่อน |
|
มณฑาทิพย์ รีสอร์ท
ที่พักอยู่ใกล้ทางขึ้นดอยอินทนนท์ บริการบ้านพักเป็นหลัง บรรยากาศดี มีความเป็นส่วนตัว ห้องพักสะอาด มีที่จอดรถ |
ดูโรงแรมใน เชียงใหม่ ทั้งหมด คลิ๊ก
Post Views 34556