รีวิวงานพืชสวนโลก Royal Flora 2011
ผู้สนับสนุน | |||
งานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554 (The International Horticultural Exposition: Royal Flora Ratchaphruek 2011) เพิ่งจะเปิดงานอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2554 จากที่กำหนดการเดิมจะเปิดวันที่ 14 พฤศจิกายน 2554 อาจจะด้วยสาเหตุน้ำท่วม หรือเตรียมงานไม่ทัน ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
แต่เมื่อเปิดงานอย่างเต็มรูปแบบแล้ว เราทีมงาน emagtravel.com ก็ไม่รอช้า ไปเที่ยวงานพืชสวนโลก จะได้มารีวิวให้ได้ชมกันครับ เราไปงานวันที่ 17 ธันวาคม 2554 งานเพิ่งจะเปิดใหม่ๆ ดอกไม้ก็ยังสวยอยู่ครับ
นั่งรถแดงไปงานพืชสวนโลก
จากตัวเมืองเชียงใหม่เราโบกรถแดงไปงานพืชสวนโลก คิดว่ารถแดงจะชาร์จเราเต็มที่ เพราะงานพืชสวนโลกอยู่ที่ อุทยานหลวงราชพฤกษ์ ตำบลแม่เหียะ ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 8 กิโลเมตร ซึ่งไกลพอสมควร แต่กลับกลายเป็นว่ารถแดงเรียกเพียงคนละ 25 บาท รถวิ่งไปประมาณ 30 นาที ทั้งรถนั่งไปกันแค่ 2 คน ไม่มีใครนั่งมาด้วย รวม 2 คนค่ารถก็ 50 บาท ตอนลงจากรถเลยให้ไปมากกว่าราคาที่เค้าว่าไว้
รถแดงส่งเราใกล้กับวงเวียนที่อยู่หน้างานพืชสวนโลก จากนั้นเราก็เดินเข้ามาในงานครับ ไม่ไกลเท่าไหร่
สำหรับตั๋วเข้าชมงานพืชสวนโลกราคาซื้อหน้างาน ผู้ใหญ่ คนละ 200 บาท แต่ถ้าซื้อล่วงหน้ากับ ธ.กรุงไทย ราคาเพียงคนละ 100 บาท (ตอนนี้่ซื้อกับ ธ. กรุงไทยไม่ได้แล้วนะครับ หมดเขตแล้ว ต้องซื้อหน้างาน) เราเลยซื้อกับ ธ.กรุงไทย มาล่วงหน้าเลย ประหยัดไปคนละ 100 บาท แต่เป็นตั๋วระบุวันเข้านะครับ ต้องรู้วันไปที่แน่นอนถึงจะไปซื้อตั๋วได้
ราคาบัตรเข้าชมงานพืชสวนโลก 2554 (ราคาซื้อหน้างาน)
- บัตรประเภทเข้าชมงานครั้งเดียว ?? ?ผู้ใหญ่ คนละ 200 บาท ?? ?เด็ก / นักศึกษา / ผู้สูงอายุ / ผู้พิการ คนละ 100 บาท
- บัตรประเภทเข้าชมงานไม่จำกัดจำนวนครั้ง ?? ?ผู้ใหญ่ คนละ 800 บาท ?? ?เด็ก / นักศึกษา / ผู้สูงอายุ / ผู้พิการ คนละ 400 บาท
- บัตรประเภทหมู่คณะ 15-50 คน ?? ?ผู้ใหญ่ คนละ 150 บาท ?? ?เด็ก / นักศึกษา / ผู้สูงอายุ / ผู้พิการ คนละ 70 บาท
หมายเหตุ เด็กต้องมีความสูงไม่เกิน 100 ซ.ม., ผู้สูงอายุต้องมีอายุ 60 ปีขึ้นไป
ที่หน้างานมีตุ๊กตาขนาดใหญ่ทำจากต้นไม้มายืนอยู่ 2 ตัว ตัวซ้ายน่าจะชื่อ ดินฉ่ำ ส่วนตัวขวาชื่อ น้องคูณ ทำสวยดีครับ มีคนมาถ่ายรูปด้านหน้างานเยอะเลย
ธงนานาชาติ ที่มาร่วมจัดงาน มหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554
ไออุ่น กับ ลมบิน ทักทายที่หน้างาน
ใครมีบัตรเข้างานแล้ว เข้าไปได้เลย เมื่อเข้าไปด้านในจะมีเจ้าหน้าที่มาแจกแผนที่บอกรายตำแหน่งสวนประเทศต่างๆ ในงาน, จุดสำคัญ, ร้านอาหาร, ห้องน้ำ ฯลฯ แผนที่นี่จำเป็นมากนะครับ จะได้ไม่เดินวกไปวนมา
ได้แผนที่แล้ว สำรวจก่อนนะครับ ว่าจะเข้าชมอันไหนก่อน – หลัง, อันไหนไม่สนใจ อันไหนจะข้าม งานมีขนาดใหญ่มาก ถ้าจะชมให้ครบต้องใช้เวลาเช้าถึงเย็นเลยครับ
รถบริการในงานพืชสวนโลก
เนื่องจากงานมีขนาดใหญ่มาก จึงมีรถวิ่งให้บริการในงาน โดยจะมีรถอยู่ด้วยกัน 3 แบบ
1. รถพ่วง 50 ที่นั่ง ค่าบริการคนละ 30 บาท
2. รถกอล์ฟ 12 ที่นั่ง ค่าบริการคนละ 50 บาท
3. รถกอล์ฟ 4 ที่นั่ง ค่าบริการ 600 บาท / ชั่วโมง
โดยรถพ่วง และ รถกอล์ฟจะลงที่จุดไหน นานเท่าไหร่ก็ได้ เมื่อชมจุดนั้นเสร็จก็มาขึ้นรถคันใหม่ได้ แต่จะใช้บริการได้เพียง 1 รอบเท่านั้น ส่วนรถกอล์ฟ 4 ที่นั่งราคาโหดหน่อย 600 บาท / ชั่วโมง ผมแนะนำให้นั่งรถพ่วง 50 ที่นั่งครับ ราคาถูกสุดและมีรถมาถี่สุด
รถให้บริการตั้งแต่เวลา 9.00 – 19.20 น
ใครที่ตั้งใจว่าจะเข้าชมทุกสวน ทุกบูธแนะนำว่าไม่ต้องขึ้นรถนะครับ เดินเอาดีกว่า งานนี้จัดเต็มพื้นที่ครับ
หน้าตารถพ่วง 50 ที่นั่ง
หน้าตารถกอล์ฟ 12 ที่นั่ง
หน้าตารถกอล์ฟ 4 ที่นั่ง
ผมซื้อบัตรรถแบบ 50 ที่นั่งมา สามารถขึ้นรถตรงหน้าที่ขายตั๋วได้เลย เราลงรถที่ป้ายหยุดรถ S-04 ใกล้กับสวนของสมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย
สวนสมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย โครงสร้างสวนทำจากไม้ไผ่เอาดัดงอคล้ายๆ เล้าไก่ สวยแล้วก็เก๋ดีครับ
เข้าไปด้านในเป็นน้ำตกจำลองและกล้วยไ้ม้หลากหลายชนิด
เดินไปอีกนิดก็เจอกับ สวนของ บ.การบินกรุงเทพฯ หรือ Bangkok airways จัดสวนด้วยการทำอาคารเป็นรูปเครื่องบิน แล้วทำสถานที่จำลองของเมืองต่างๆ ที่มีเครื่อง Bangkok airways ไปลง
เดินย้อนกลับไปทางป้ายหยุดรถ S-03 เข้าไปเดินดูแมลงหลากหลายชนิดที่ Bug world 2011 ในนี้มีทั้งแมลงที่สต๊าฟไว้ศึกษา และแมลงตัวเป็นๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่
ที่ Bug world 2011 จะมีนักเรียนเยอะกว่าที่อื่นๆ นักเรียนแต่ละคนจดเอาความรู้ที่วิทยากรบรรยายลงสมุด คงจะเป็นการบ้านไปส่งอาจารย์นะครับ เป็นความรู้นอกห้องเรียนที่ตำราไม่มีให้สัมผัส
ผีเสื้อและแมลงหลากหลายชนิด บางตัวก็หายากไม่เคยเห็นมาก่อน
อันนี้ทำเหมือนกล่องปริศนาต้องเปิดดูก่อน ถึงจะรู้ว่าอะไรอยู่ด้านใน กล่องนี้เป็นผีเสื้อยักษ์เอ็ดเวิร์ดครับ
ป้ายเกร็ดความรู้หลากหลายจากแมลง ทำคล้ายกับเกมโชว์เลย
ที่ Bug world 2011 ไม่ได้มีแต่แมลงที่ตายแล้วเท่านั้น ยังมีแมลงและผีเสื้อเป็นๆ อยู่ในสวน เท่าที่จำได้มีแมลงแปลกๆ เช่นตั๊กแตนตำข้าว หิ่งห้อย ตั๊กแตนกิ่งไม้ ด้วง แมลงบางชนิดก็พรางตัวกลมกลืนกับต้นไม้ ใบไม้จนดูแทบไม่ออก
แมลงหิ่งห้อยในขวดโหล เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นตัวเป็นๆ ตอนที่ยังไม่ได้เรือนแสง ถ้าเจอเกาะอยู่บนต้นไม้ตอนกลางวันก็คงไม่รู้เหมือนกันครับว่าเป็นหิ่งห้อย
ใครที่มากันเป็นครอบครัว มีเด็กๆ มาด้วยแนะนำว่าไม่ควรพลาด เข้าชม Bug world 2011 ครับ
ในงานพืชสวนโลก 2554 มีสวนจากบริษัทต่างๆ และสวนนานาชาติหลายสวนมากครับ ในรูปด้านบนเป็น สวนเมืองไทยประกันชีวิต ตกแต่งด้วยโทนสีประจำบริษัท ขาว – ชมพู
สวนนานาชาติสวนแรกที่เราชมเป็น สวนประเทศเกาหลี สวนนี้มีชื่อภาษาอังกฤษว่า “Wall garden and wish garden” รูปแบบจะเป็นสวนกำแพง และใส่ความเป็นประวัติศาสตร์ลงไป ด้วยการใช้หม้อ ไห โบราณมาตกแต่ง
ความเห็นส่วนตัวคิดว่าสวนนี้เรียบง่ายเกินไป สำหรับงานแบบนี้ น่าจะทำได้ดีกว่านี้
ออกจากสวนเกาหลีมาเข้า สวนประเทศปากีสถาน ประเทศปากีสถานเป็นประเทศที่มีอาณาเขตอยู่ติดกับอินเดีย อิหร่าน และอัฟกานิสถาน รูปแบบของสวนจะออกไปทางตะวันออกกลาง ผสมผสานกับอินเดีย
ในสวนไม่มีอะไรมาก ต้องเดินเข้ามาในเต๊น มีการตกแต่งฝาฝนังด้วยไม้ไผ่ตัดเป็นท่อนๆ วางเป็นช่องๆ ส่วนของที่เอามาโชว์เป็นแจกัน รูปปั้นทำมาจากหินที่ดูแล้วคล้ายๆ หินอ่อนมีลวดลายหลายๆ ชั้น สวนนี้มีชาวปากีสถานอยู่ด้วยครับ ใครอยากทักทายสอบถามอะไรกับพี่เค้า เข้ามาได้เลยครับ
สวนประเทศแอฟริกาใต้ ตกแต่งด้วยกิ่งไม้และพืชท้องถิ่น
สวนประเทศรัสเซีย มาพร้อมกับสโลแกน From Russia with love จริงๆ แล้วประเทศรัสเซียเป็นประเทศที่มีสถาปัตยกรรมสวยงาม สไตล์ยุโรปแบบผสมผสาน แต่ในสวนกลับเน้นตกแต่งด้วยภาพวาดสีสันสดใส
รูปภาพในสวนรัสเซีย
มาถึง สวน Air asia สายการบิน Low cost อันดับ 1 ของคนไทย ตกแต่งด้วยเครื่องบินจำลองบนลูกโลก สายการบิน Air asia เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนงานพืชสวนโลก 2554 ด้วยครับ คาดว่าคงมีคนใช้บริการ Air asia บินมางานพืชสวนโลกอยู่เยอะเหมือนกัน ใจผมก็อยากบินกับ Air asia มาลงเชียงใหม่ แต่ช่วงนี้ค่าตั๋วแพงเหลือเกิน เลยต้องนั่งรถทัวร์แทน
สวนในรูปด้านล่างที่มีน้ำพุอยู่กลางสวน เป็น สวนประเทศซูดาน ประเทศซูดานเป็นประเทศที่อยู่ในทวีปแอฟริกาอยู่ติดกับอียิปต์ครับ
กำแพงสูงเด่นเป็นสง่า มีธงชาติตั้งอยู่ด้านหน้าเป็น สวนประเทศโมร็อคโก ภายในมีสวนกุหลาบหลากสีและน้ำพุ
คั่นการชมสวนนานาชาติ มาชมสวนกล้วยไม้กันบ้างครับ ที่ Orchid Pavillion และ Orchid zoo
กล้วยไม้หลากสี หลากหลายสายพันธุ์
เดินสบายๆ อาการไม่ร้อน
บรรยายไม่ถูก ดูรูปเอาละกันนะครับ
เดินไปเดินมา มาหยุดเอาที่ สวน บ.เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้ยินเสียงพนักงานเชิญชวนมาดูหนัง 3 มิติความยาวประมาณ 5 นาที ชมในห้องแอร์
ก่อนเข้าชมต้องสวมแว่น 3 มิติก่อนนะครับ หนังจะฉายเป็นรอบๆ รอบนึงน่าจะรองรับได้ 30-50 คน ต้องยืนดูนะครับ เนื้อเรื่องก็จะเป็นความเป็นมาของบริษัท CP ฟาร์มไก่ ฟาร์มหมูและบริษัทในเครือเช่น 7-eleven, UBC, True สำหรับ action 3 มิติยังไม่ค่อยตื่นตาตื่นใจเท่าไหร่ ไม่ได้ให้ความรู้สึกแตกต่างจาก 2 มิติมากนัก
ชมหนังเสร็จก็ต้องเดินไปทางของ CP ที่มีผลิตภัณฑ์ CP จำหน่าย วกไปวนมา จะออกเลยไม่ได้ครับ ไม่มีทางให้ออก จนมาโผล่ที่ศูนย์อาหารของ CP มีของกินขายหลายอย่าง การตลาดของบริษัทนี้สุดยอดจริงๆ
ศูนย์อาหาร CP
ออกจาก CP เสร็จแวะเข้า สวนประเทศอิหร่าน เป็นสวนที่ดูเรียบง่าย แต่มีสไตล์ดี
ระหว่างทางเดินจะมีพืชเมืองหนาวปลูกให้ชมอยู่ตลอด ในรูปเป็นดอกลิลลี่ครับ
เราเดินเพลิน เข้ามาถึงกลางงานโดยไม่รู้ตัว เห็น หอคำหลวง อยู่ลิปๆ มุมนี้เป็นมุมที่ถ่ายรูปสวยครับ ยืนถ่ายที่ทางเดินมีฉากหลังเป็นหอคำหลวง สวยงามมาก
เดินต่อไปให้ถึง หอคำหลวง
เข้าไปดูใกล้ๆ หอคำหลวง ตกแต่งสวยมาก สุดยอดงานฝีมือ และสถาปัตยกรรมแบบล้านนา ส่วนด้านในหอคำหลวงเป็นห้องโล่งๆ มีเสาไม้ลงลายทอง และภาพวาดที่ฝาผนังเท่านั้น
ลุยสวนนานาชาติกันต่อที่ สวนประเทศเวียดนาม ดูๆ ไปสถาปัตยกรรมของเวียดนามก็ได้รับอิทธิพลจากจีนมาพอสมควรเลย
บ้านจำลองอดีตประธานาธิปดีโฮจิมิน ภายในบ้านมีเครื่องดนตรีเวียดนามวางโชว์อยู่
สวนประเทศเนเธอแลนด์ ดินแดงแห่งกังหันลม ปีนี้ไม่ได้มีทุ่งทิวลิปให้ได้ชม แต่เปลี่ยนเป็นดอกลิลลี่ให้ได้ชมแทน อาจจะเป็นเพราะอากาศที่เชียงใหม่ ยังหนาวไม่พอ
ดอกลิลลี่สีส้ม
ภายในสวนประเทศเนเธอแลนด์ มีดอกทิวลิปสีเหลืองให้ได้ชมกันนิดนึง
ถัดมาเป็นสวนประเทศเพื่อนบ้านเรา สวนประเทศมาเลเซีย ในสวนมีบ้านไม้ของชาวมาเลเซียอยู่ด้วย ภายในตกแต่งเหมือนบ้านจริง
ข้ามทวีปมาที่ สวนประเทศตุรกี ประเทศที่อยู่ระหว่างยุโรปและตะวันออกกลาง
สวนประเทศตุรกีจุดเด่นของสวนนี้อยู่ที่รูปปั้นคู่รักตุรกี
สวนประเทศญี่ปุ่น
ภายในมีบ้านไม้สไตล์ญี่ปุ่นและสระน้ำที่เลี้ยงปลาคาร์ฟ ส่วนทางซ้ายมือเป็นเนินเขาทำเป็นภูเขาไฟฟูจิจำลอง มีควันน้ำแข็งแห้งลอยมาจากยอดภูเขาไฟ
สวนประเทศบังกลาเทศ ตรงกลางสวนมีรูปปั้นคล้ายกับกลีบดอกไม้
สวนประเทศกาตาร์ ตรงกลางสวนมีเจดีย์สีขาวตั้งอยู่
สวนโครงการหลวง Royal Project Garden
ภายในสวนมีลานชาวดอยซึ่งจำลองบ้านและวิถีชีวิตของชาวเขาเผ่าม้ง มีชาวเขานั่งเย็บเสื้อผ้า
สวนประเทศอินโดนีเซีย
ภายในสวนมีศาลาโล่งๆ เสียดายความเป็นอินโดนีเซีย ที่มีความงดงามของสถาปัตยกรรมทางด้านพุทธศาสนา หรือ สถาปัตยกรรมแบบบาหลี แต่ไม่ได้เอาของดีมาโชว์
สวนประเทศสเปน ไฮไลท์ของสวนนี้อยู่ที่ต้นเลือดมังกร เป็นต้นไม้ที่มีสีแดงอยู่ในลำต้น เมื่อฟันต้นจะมีหยดของเหลวสีแดงออกมาจากต้น
ต้นเลือดมังกร (รูปล่าง)
สวนประเทศแคนาดา เอกลักษณ์ของสวนอยู่ที่เสาโทเทม (Totem) ที่มีรูปหน้าชนเผ่าอินเดียนแดง
ใกล้กับสวนแคนาดาเป็น สวนประเทศอินเดีย มาด้วยสถาปัตยกรรมโทนสีน้ำตาลผสมดินแดง
สวนประเทศเนปาล
ภูเขาขาวๆ ในสวนประเทศเนปาลคือยอดเขาเอเวอร์เรสยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกครับ
สวนประเทศเบลเยียม เก๋ไม่เหมือนใครทำเหมือนท่อโผล่มาจากพื้นดินมีต้นไม้อยู่ปากท่อและด้านในเป็นต้นสัปปะรดสีครับ มีควันลอยออกมาจากด้านในด้วย
กระเช้าราชพฤกษ์ลอยฟ้า (Giant Flora Wheel)
หนึ่งในไฮไลท์ของงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554 คือกระเช้าราชพฤกษ์ลอยฟ้า ที่ไม่เคยมีในปีที่ผ่านๆ มา เป็นกระเช้าลอยฟ้า หรือ ชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ (Giant Flora Wheel) เมื่อขึ้นไปอยู่ด้านบนจะมองเห็นวิวได้ทั่วทั้งงาน
ราคาบัตรขึ้นกระเช้าอยู่ที่คนละ 120 บาท ไม่แพงอย่างที่คิดครับ เวลาที่เหมาะกับการขึ้นกระเช้าน่าจะเป็นเวลาเย็นๆ หน่อย อากาศไม่ร้อนมาก แสงกำลังสวย เสียดายว่าเรามีเวลาน้อยไปหน่อยเลยไม่มีโอกาศได้ลองนั่งกระเช้า
สวนประเทศภูฎาน
สวนประเทศเคนยา
สวนประเทศจีน
ทานข้าวกลางวัน ก๋วยเตี๋ยวในงานชามละ 60 บาท
เดินมาค่อนวันแล้วใช้พลังงานไปเยอะ ก็เลยหิวข้าวครับ การเดินเที่ยวชมงานพืชสวนโลกต้องวางแผนดีๆ ว่าจะกินข้าวที่จุดไหน เพราะจุดที่มีศูนย์อาหารไม่ได้มีทุกที่ครับ ผมลงรถที่จุดจอดรถ S-10 มีร้านขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ในอาคาร ที่อยู่ติดกับร้านขายอาหารทะเล ด้วยความที่ว่าหิวจัด คิดว่าทานก๋วยเตี๋ยวจะได้เร็ว เลยเข้าไปสั่งรออยู่ประมาณ 30 นาที ไม่ได้ทานซักที ร้านมีคนเยอะ แต่ไม่มีระบบ คนคอยกินหงุดหงิดกันทั้งร้านเลย
ก๋วยเตี๋ยวก็ไม่ใช่ราคาธรรมดานะครับ ชามละ 60 บาท ปริมาณก็พอๆ กับราคา 30 บาทร้านทั่วไป แต่ค่าที่เค้าคงจะแพงมั้ง สุดท้ายก๋วยเตี๋ยวไม่มาซักที เลย cancel ไป เดินไปอีกนิดไปกินที่ศูนย์อาหารสีแดงๆ ในรูปด้านบน เป็นร้านส้มตำ หมูทอด ไก่ทอด รอไม่นาน ราคาไม่แพงเว่อร์
ใครจะไปงานพืชสวนโลกก็ทำใจเรื่องราคาอาหารกับ รอคิวอาหารด้วยนะครับ ยิ่งช่วงปีใหม่ผมคิดว่าคงคนเยอะกว่านี้ อันไหนซื้อติดตัวเข้าไปกินรองท้องได้ ซื้อจากข้างนอกไปเลยครับ สะดวกและถูกกว่าซื้อในงาน
หรือจะพกข้าวกล่องเข้าไปในงานแล้วไปหาร่มไม้เย็นๆ นั่งกินก็ได้นะครับ
ทานข้าวกลางวันเสร็จ มีแรงเดินต่อ เข้าไปที่ สวนสมุนไพร (Herb Pavillion) สวนนี้ร่มรื่นน่านั่งพักคลายความเมื่อย มีดนตรีไทยกลางสวนให้ฟังด้วย นักดนตรีแต่งชุดไทยเข้ากับบรรยากาศมากครับ
มุมนี้มีการสาธิตการสาวไหม ดูสาวต่างชาติคนนี้จะสนใจเป็นพิเศษ ถึงกับนั่งดูอย่างตั้งใจ
เราเดินย้อนไปทางที่หยุดรถ S-09 ผ่าน พรมบุปผา ไกด์บนรถบอกว่า พรมบุปผา ได้แรงบันดาลใจมากจากสวนแม่ฟ้าหลวง ที่ดอยตุง ถ้าเทียบกันแล้วสวนแม่ฟ้าหลวงที่ดอยตุงสวยกว่าเยอะครับ
ที่พรมบุปผาปลูกดอกทานตะวันชนิดเดียว แต่ปลูกไม่พร้อมกัน บางแปลงบานแล้ว บางแปลงยังเล็กอยู่ คงเป็นความตั้งใจที่จะให้มีต้นใหม่ทดแทน แทนต้นเก่าที่แก่ตายไป
ดอกทานตะวันด้วยเลนส์ wide Sigma 10-20 ซักภาพ เนื่องจากขี้เกียจเปลี่ยนเลนส์เป็น Kit 18-55
รอบๆ พรมบุฟผา มีอุโมงค์ไม้เลื้อยเป็นพืชตระกูลฟัก และ บวบ มีผลห้อยทะลุลงมาด้านล่าง ร่มรื่น สวยงามดีครับ
เราเดินมาถึงจุดที่เรียกว่า ทางเดินลอยฟ้า หรือ Sky walk เป็นจุดที่อยู่บนเนินสูงที่สุดในงานพืนสวนโลก มีทางเดินลอยฟ้าให้ชมวิวแบบ 360 องศา
ตรงนี้เป็นสวนต้นแก้วมังกร
สวนองุ่นครับ มีองุ่นอยู่ด้วย
เดินเข้ามาดูในกรมประมง มีการเลี้ยงปลาเมืองหนาวเช่นปลาเทราต์สายรุ้ง และปลาไซบีเรียน สเตอร์เจียน ปลาชนิดนี้นำไข่ปลามาทำไข่ปลาคาร์เวียได้ด้วยครับ
สำหรับคนที่ชอบกระบองเพชร (แบบผม) แนะนำให้เข้ามาดูกระบองเพชรสวยๆ ที่ เรือนพืชทะเลทราย (Desert Plants Greenhouse) มีกระบองเพชรหลากหลายมาก
ดูไปดูมาก็คล้ายๆ กับสวนกระบองเพชรที่สวนนงนุชเลย แต่ก็อาจจะเป็นไปได้ครับ สวนนงนุชเป็นหนึ่งในผู้ดูแลต้นไม้ในงานพืชสวนโลก
ต้นถังทองขนาดใหญ่กว่าลูกฟุตบอล
ตระกูลอิชิเวเรีย
ข้างในโรงเรือนมีการปรับอุณหภูมิและความชื้นให้พอเหมาะ อากาศไม่ร้อนครับ
ดูพืชโซนทะเลทรายเสร็จแล้ว เข้ามาตากแอร์เย็นๆใน เรือนพืชไม้เมืองหนาว บ้างดีกว่า ภายในเรือนพืชไม้เมืองหนาวปรับความเย็นและความชื้นให้เหมาะสมกับต้นไม้เมืองหนาว
ทุ่งดอกลิลลี่ และดอกไม้เมืองหนาวหลายชนิด
รูปบนเป็นต้นทิวลิป ต้นยังไม่ใหญ่มากเหมือนเพิ่งปลูก ส่วนฝั่งขวาเป็นดอกเบญจมาศสีขาว สีเหลือง สีชมพู
ต้นไม้เถาอันนี้คือต้นสตรอว์เบอร์รี่ มีแต่ต้น ไม่ติดผล
กระหล่ำประดับครับ ใบสีสวยตรงกลางอมชมพู – ม่วง
ใช้เวลาชมเรือนพืชไม้เมืองหนาวไม่เกิน 10 นาทีก็เดินทั่วแล้วครับ เราสามารถเดินต่อเนื่องไปยัง เรือนพืชไร้ดิน (Soilless Greenhouse) ที่อยู่เรือนติดกันได้เลย
เรือนนี้จะเป็นการสาธิตการปลูกพืชแบบไม่ใช้ดิน ส่วนมากจะเป็นผักครับ พวกผักกาด ผักสลัด มะเขือเทศ พริกหยวก
พริกหยวก สีสวย
เรือนสุดท้ายที่เราเข้าชมเป็น โดมไม้เขตร้อนชื้น เวลาเข้าไปจะต้องระวังน้ำนิดนึงนะครับ มีการรดน้ำเพิ่มความชื้นอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้เหมาะสมกับพืชร้อนชื้น
พืชที่เราคุ้นหน้าคุ้นตาในนี้ ก็มีเฟิร์น ปาล์ม เข้าใจว่างานพืชสวนโลกเป็นงานแบบชั่วคราว เลยไม่สามารถเอาต้นไม้มาลงได้อย่างเต็มที่ ต้นไม้เลยดูธรรมดาๆ ไปหน่อย ถ้าใครชอบแนวนี้ลองไปดูเพิ่มเติมที่สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อ.แม่ริม เชียงใหม่ ที่นั่นจัดบรรยากาศได้เหมือนอยู่ในป่าเลย
ตอนนี้ก็บ่าย 2 โมงแล้วครับ เรามาตั้งแต่ 9 โมง เดินยาวถึงบ่าย 2 จากการคาดคะเนเราน่าจะเก็บได้ 70% ของงานแล้ว ก็ลุยกันต่อครับ วันนี้อากาศร้อนนิดหน่อย เลยเหนื่อยง่าย
เราอยู่กันที่ สวนบัว (Lotus pond) ที่อยู่ข้างหน้าผมคือ บัวจิ๋ว (Miniature Waterlily) มีขนาดเล็กสามารถปลูกในชามได้สบายๆ เป็นบัวสายพันธุ์พื้นเมืองของมาดากัสการ์ พันธุ์ดั้งเดิมเป็นสีขาว หรือ ขาวอมชมพู แต่ปัจจุบันได้รับการปรับปรุงพันธ์ให้มีสีเยอะขึ้นเช่น สีม่วง ฟ้า เหลือง บัวชนิดนี้สามารถปลูกอยู่ในอาคารที่มีแสงไม่เยอะได้ด้วยครับ
รอบๆ สวนบัวมีรูปปั้นยืนอยู่โดยรอบ
ใบบัวใหญ่มาก เคยอ่านเจอมาว่าบัวชนิดนี้เด็กสามารถลงไปนั่งได้โดยที่ไม่จม แต่อย่าไปลองทำตามนะครับ
มุมดอกไม้เมืองหนาว ปีนี้ดอกลิลลี่เยอะหน่อย
กรมส่งเสริมการเกษตร จัดงานในบ้านทรงไทย
สวนบอนไซ มีบอนไซหลายแบบ ทั้งต้นเล็ก ต้นใหญ่ อยู่ในกระถางและโขดหิน ดูแล้วคล้ายๆ กับที่สวนนงนุช ไม่แน่ใจว่ายืมต้นไม้ที่สวนนงนุชมาประดับหรือเปล่า แต่ก็สวยงามดีครับ บอนไซแบบนี้หาดูไม่ง่ายนัก
ใครที่ยังมีแรงอยู่ผมจะพาไปหลบแดดในศูนย์นิทรรศการ Expo Center 2 / Hall 1 ข้างในนี้มีสวนสวนๆ ให้ชมด้วยครับ
นิทรรศการภายในอาคาร
อาคารนิทรรศการ 2 (Expo Center 2) เป็นสถานที่จัดนิทรรศการหมุนเวียน ซึ่งจะมีการจัดแสดงพรรณไม้ตลอด 92 วันและจะผลัดเปลี่ยนหัวข้อมาจดแสดงไม่ซ้ำกัน วันที่เราไปเป็นงาน “Greentitude International Indoor Garden Flower for Cooling the World”
อาคาร Expo Center 2 เหมือนเป็นอาคารสร้างใหม่ ยังมีกลิ่นสีอยู่เลย
สวนจากโครงการพิเศษสวนเกษตรเมืองงาย
ทางเข้าไปยังงาน Greentitude International Indoor Garden Flower for Cooling the World
สวนประเทศเคนยา มีชาวเคนยามาเล่นเครื่องดนตรีให้ฟัง + ขายของที่ระลึก
สวนประเทศญี่ปุ่น
สวนกล้วยไม้จากประเทศไต้หวัน
ดนตรีใสๆ สไตล์ Folk song จากคณะเกษตรศาสตร์ ม.เชียงใหม่
ใน Expo Center 2 มีสวนให้ชมอยู่เยอะเหมือนกันครับ ชมใน Expo เสร็จไปตากแดดกันต่อ
สวนแสงแห่งจินตนาการ ไฟสวยๆ เปิดประดับเวลากลางคืน เสียดายไม่มีเวลาอยู่ดู
เดินตั้งแต่เช้าจรดเย็น น่าจะเกือบครบหมดทุกโซน และแล้วเราก็ถึงเวลาต้อง Bye Bye งานพืชสวนโลกเพื่อกลับกรุงเทพฯ จากป้าย Bye Bye ถ้าเดินข้ามรั้วไปก็จะเป็นทางออกแล้วครับ แต่ทางผู้จัดงานไม่ทำอย่างนั้น บังคับให้เราเดินผ่าน hall ขายของ 3 hall ถึงจะได้ออก คนที่เดินในงานจนเมื่อยก็ได้บ่นกันใหญ่
ขากลับเราใช้บริการ Free Shuttle bus จากงานพืชสวนโลกไปศูนย์ราชการจังหวัดเชียงใหม่ อันที่จริงแล้ว Free Shuttle bus จากงานพืชสวนโลกมีวิ่งไปลง 2 ที่ครับ 1. สถานีรถไฟเชียงใหม่ 2. ศูนย์ราชการ แต่ด้วยความไม่รู้เราคิดว่าศูนย์ราชการอยู่ใกล้เมืองมากกว่า แต่ที่ไหนได้อยู่ไกลเมืองมากกว่าสถานีรถไฟเสียอีก ต้องโบกรถแดงเข้าเมืองมาอีกที
จากศูนย์ราชการโบกรถแดง 3 คน ไปลงแถวประตูท่าแพคิดคนละ 20 บาท รถแดงบางคันราคาก็ไม่แพงนะครับ จากประสบการณ์ผมรถแดงแถวขนส่ง (อาเขต), ช้างเผือก, สถานีรถไฟ ชอบคิดราคาแพง
สำหรับจุดบริการขนส่งจุดอื่นๆ ทั้งหมด 19 จุด เป็นจุดบริการแบบเสียตังค์คนละ 20-40 บาท ดูได้จากด้านล่างเลยครับ
สรุปส่งท้าย
งานพืชสวนโลก 2554 ปีนี้ไม่ดังเหมือนปีก่อนๆ ที่ผ่านมาอาจจะเป็นเพราะน้ำท่วม, ขาดการประชาสัมพันธ์ แต่จากการที่ได้ไปมาจริงๆ คิดว่างานยังทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ ไม่สวยอย่างที่คิดไว้ สวนนานาชาติก็กลวงๆ แทบไม่มีอะไรโดดเด่น อาหารในนี้ก็แพงมาก ถ้าถามว่าคุ้มไหมกับค่าตั๋ว 100 บาท (ตั๋วจองล่วงหน้ากับ ธ. กรุงไทย) ก็ถือว่าคุ้มมาก มีมุมสวยๆ ให้ได้ถ่ายรูปมากมาย มีไฟ มีการแสดงตอนกลางคืน สุดท้ายนี้งานนี้เลื่อนจัดมาถึง 14 มีนาคม 2555 ใครที่ไปเที่ยวเชียงใหม่และเข้าไปชมดูนะครับ แล้วเปรียบเทียบกับที่ผมว่าไว้ ว่าจริงไหม …
แผนที่ไปงานพืชสวนโลก 2554
สิ่งที่ควรนำติดตัวไปด้วย
– ร่ม หรือหมวก กลางวันอากาศร้อนมากครับ
– น้ำดิ่ม ของกิน จะมื้อหนัก หรือของกินเล่น ซื้อติดตัวไปเลยครับ อาหารข้างในขายแพงมาก ถ้าเป็นช่วงวันหยุดปีใหม่ จะไม่สะดวกในการเข้าคิวซื้อ
เปิดให้บริการ 14 ธันวาคม 2554 – 14 มีนาคม 2555
จันทร์ – ศุกร์ 9.00 – 21.00 น.
เสาร์ – อาทิตย์ – วันหยุดนักขัตฤกษ์ 9.00 – 22.00 น.
Post Views 3067
ขอบคุณมากครับ เดี๋ยวไปมั่ง
สวยมากๆๆค่ะได้ไปวันที่ 14 เค้ายังเตรียมงานไม่เสร๊จเรียบร้อยเลย
แต่ก็สวยมากๆ ไปดูไม่หมด
เลยขอข้อมูลบางส่วนทำรายงานส่งอาจารย์หน่อยนะค๊