รีวิวเที่ยวญี่ปุ่น ภูมิภาค Tohoku – พิพิธภัณฑ์โคมไฟ Nebuta Aomori
เคยคิดไว้ว่าอยากจะเดินทางให้ทั่วทุกภูมิภาคในญี่ปุ่น (แต่คงไม่ทุกจังหวัด) ก็ไล่เก็บไป เริ่มจากคันโต (Kanto) คันไซ (Kansai) คิวชู (Kyushu) ครั้งนี้ก็เป็นคิวของโทโฮคุ (Tohoku) ภูมิภาคที่อยู่ตอนเหนือของเกาะฮอนชู หรือ ถ้าให้เข้าใจง่ายๆ ก็เหนือโตเกียวขึ้นไปจนสุดเกาะ แต่จะไม่รวมถึงเกาะฮอกไกโด ภูมิภาคนี้มีดีที่ธรรมชาติสวย เหมาะที่จะมาเที่ยวช่วงใบไม้เปลี่ยนสี หรือ ชมดอกซากุระบาน
การเดินทางทางไปเที่ยวภูมิภาค Tohoku ลงสนามบินไหนดี
สามารถเลือกลงได้ 3 สนามบิน ได้แก่ ฮาเนดะ (HND) นาริตะ (NRT) และ เซนได (SDJ)
- สนามบินฮาเนดะ (HND) หรือ นาริตะ (NRT) จะต้องเข้าโตเกียวมาตั้งหลักที่สถานี Ueno หรือ Tokyo จากนั้นนั่ง Shinkansen Hayabusa ขึ่งไปยัง Sendai รวมใช้เวลาจากโตเกียวประมาณ 86 นาที ข้อดีของการเลือกลง ฮาเนดะ (HND) / นาริตะ (NRT) คือมีสายการบินให้เลือกเยอะ ทั้ง Lowcost และ Full service
- สนามบินเซนได (SDJ) ให้บริการโดยการบินไทยสายการบินเดียว บินตรงกรุงเทพฯ – เซนได เส้นทางนี้มีการเปิด – ปิดอยู่หลายครั้ง มักจะเปิดในฤดูการท่องเที่ยว ในรอบนี้เปิดบินวันแรก 29 ตุลาคม 2562 ซึ่งเป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีของ Tohoku พอดี มีบิน 3 ไฟลต์ต่อสัปดาห์ ด้วยเครื่องบินโบอิ้ง 777-200
จากการเช็คราคาอย่างสม่ำเสมอ และจองล่วงหน้ากว่า 3 เดือน ตัวเลือกที่ดีที่สุดของเราคือ การบินไทย บินลงเซนได มีข้อดี 3 อย่าง
- ราคาไป – กลับ เพียงคนละ 13,850 บาท
- บินลงเซนได เหมาะกับผู้ที่เที่ยวในโทโฮคุ
- ได้นอนมากขึ้นอีกนิด เนื่องจากเซนได อยู่ไกลกว่าโตเกียว จึงใช้เวลาเดินทางมากกว่า (นิดนึง)
.
โปรแกรมเที่ยว Tohoku 8 วัน
จองตั๋วเครื่องบินเสร็จแล้ว ก็วางโปรแกรมเที่ยวกันต่อ ทริปนี้มีเวลาเที่ยวเต็มวัน 7 วัน ส่วนวันสุดท้ายวันที่ 8 เครื่องออกสายๆ ไปไหนไม่ได้เลย ช่วงที่เราไปนี้ 1-7 พฤศจิกายน เป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีของภูมิภาคนี้ โปรแกรมส่วนมากก็จะเป็นการเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสี
- วันที่ 1 : ลง Sendai นั่ง Shinkansen ไป Aomori เที่ยว Nebuta Museum WA-RASSE และ A-FACTORY
- วันที่ 2 : ชมใบไม้เปลี่ยนสี Lake Towada – Oirase stream
- วันที่ 3 : ชมใบไม้เปลี่ยนสี Nakano Momiji Yama เที่ยวเมือง Hirosaki เก็บแอปเปิ้ล ที่สวนแอปเปิ้ล HIROSAKI RINGO PARK
- วันที่ 4 : เที่ยวเมือง Morioka ปราสาท Morioka Castle Site Park (Iwate park)
- วันที่ 5 : วัดบนภูเขาสูง Yamadera Temple, สวน Kajo Park ปราสาท Yamagata Castle
- วันที่ 6 : ชมใบไม้เปลี่่ยนสี Naruko Gorge
- วันที่ 7 : เที่ยวรอบเมือง Sendai ด้วย Loople Bus
.
จองโรงแรม
เราเลือกจองโรงแรม 3 เมือง ได้แก่ Aomori 3 คืน, Morioka 2 คืน และ Sendai 3 คืน จองผ่าน Agoda และ Rakuten Travel แนะนำให้จองแบบยกเลิกได้ เผื่อเจอโรงแรมใหม่ที่ดีกว่า หรือ เปลี่ยนแผน
- APA Hotel Aomori-Eki Higashi ค่าที่พักเฉลี่ยคืนละ 2,216 บาท
- Hotel Jin Morioka Ekimae ค่าที่พักคืนละ 1,940 บาท
- Daiwa Roynet Hotel (Sendai) ค่าที่พักเฉลี่ยคืนละ 2,787 บาท
.
ซื้อ JR EAST PASS Tohoku
เที่ยวโทโฮคุ จำเป็นมากที่จะต้องมีพาส เนื่องจากแต่ละเมืองห่างกันไกล ต้องเดินทางด้วย Shinkansen พาสที่คุ้มที่สุดในภูมิภาคนี้ ก็จะเป็น JR EAST PASS Tohoku ใช้นั่งรถไฟ JR, Shinkansen, JR Bus ได้ตั้งแต่ Tokyo จนถึง Aomori เลย และยังใจดีให้ใช้ได้ 5 วัน แบบไม่ต้องติดกันก็ได้ คือวันไหนเดินทางเยอะก็เลือกใช้พาส วันไหนอยากจ่ายเองก็ได้ แต่ยังไงก็ต้องใช้ภายใน 14 วันนับตั้งแต่วันเปิดใช้พาส
ราคา JR EAST PASS Tohoku 19,350 เยน ประมาณ 5,100-5,500 บาท (ขึ้นกับอัตราแลกเปลี่ยนและเอเจนซี่)
เราซื้อ JR EAST PASS Tohoku ที่ HIS เชียงใหม่ เนื่องจากวันนั้นออกไปแลกเงิน แล้วอยากจัดการให้เสร็จ สาขานี้บริการดี ไม่แพ้สาขาแม่ที่กรุงเทพฯ ราคาที่เราได้มา 5,530 บาท
พอซื้อเสร็จมาเช็คราคาเทียบกับ KLOOK พบว่า KLOOK ขายเพียง 5,088 บาทเอง ซื้อง่าย ได้รับ Voucher ทาง email พลาดไปนิดที่ไม่ได้เช็คราคาก่อน
ราคา JR EAST PASS Tohoku วันที่ 15/10/19 ซื้อในเวบ KLOOK 5,088 บาท
.
อินเตอร์เนตเช็คอิน – การบินไทย
ผู้โดยสารการบินไทย ส่วนมากมักจะไม่ทำอินเตอร์เนตเช็คอิน เพราะไม่จำเป็นยังไงก็ไปเช็คอินที่สนามบินได้ แต่จะเล่าให้ฟังถึงข้อดีที่ควรทำ โดยจะทำอินเตอร์เนตเช็คอินได้ภายใน 24 ชั่วโมงก่อนเครื่องออก ข้อดีมีดังนี้
ผังที่นั่งเครื่องบินโบอิ้ง 777-200 การบินไทย จากเวบ seatguru.com
- ก่อนเดินทาง 24 ชั่วโมงระบบจะทำการจัดที่นั่งให้ ซึ่งบางทีเราอาจจะไม่ชอบ เช่นไปคนเดียวแต่ดันได้ที่นั่งตรงกลาง มีคนประกบซ้าย – ขวา ถ้าเราทำอินเตอร์เนตเช็คอิน เราสามารถเข้าไปเปลี่ยนที่นั่งได้เอง อย่างทริปนี้เราไปกัน 2 คน ที่นั่งบนเครื่องจะวางแบบ 3-3-3 มีเพียงเบาะท้ายเครื่องแถว 60-63 เท่านั้นที่มีที่นั่ง 2 คน เราอยากนั่งเบาะนี้ก็เลือกได้ แต่ถ้าเราไปขอเลือกที่ Counter อันนี้จะยากหน่อย เพราะที่นั่งดีๆ อาจเต็ม และ เราก็ไม่เห็นผังที่นั่งด้วย
- แถวเช็คอินที่สั้นกว่า ที่สนามบินมักจะมีแถวพิเศษสำหรับผู้ที่ทำอินเตอร์เนตเช็คอิน มาแล้ว ซึ่งมักจะคิวสั้นกว่าแถวปกติ
.
ของที่จำเป็นต้องใช้
ครั้งนี้การบินไทยให้น้ำหนักกระเป๋าเราคนละ 20 กิโลกรัม สัมภาระขาไปเราก็หนัก 16 กิโลกรัมแล้ว เท่ากับว่าซื้อของใส่กระเป๋าเดินทางได้เพียง 4 กิโลกรัม เราเลยต้องบริหารจัดการน้ำหนักกระเป๋าโหลด และ ถือขึ้นเครื่องไม่ให้เกินโควต้า โดยใช้ตัวช่วยคือ เครื่องชั่งกระเป๋าเดินทาง ใครยังไม่มีแนะนำให้ซื้อเลยนะครับ
ตัวแปลงปลั๊กไฟ ปลั๊กญี่ปุ่นเป็นแบบรูแบบ 2 ขา ส่วนปลั๊กบ้านเรามีทั้งรูกลม รูแบน อย่างที่ชาร์ตแบตกล้องของเราเป็นแบบรูกลม ถ้านำไปใช้ที่ญี่ปุ่นต้องเสียบผ่าน Adaptor
.
เรื่องตื่นเต้นก่อนวันเดินทาง
ก่อนเดินทาง 1 วัน เราหยิบ Passport มากรอกข้อมูลในอินเตอร์เนตเช็คอิน ของการบินไทย พบว่าอายุเหลืออยู่ 2 เดือนเศษ บางประเทศกำหนดไว้ว่าต้องมีอายุเหลือ 6 เดือน ถึงเข้าประเทศได้ แต่โชคดีที่ญี่ปุ่นต้องการแค่มีอายุครอบคลุมในการเดินทางเท่านั้น เรื่อง Passport หมดอายุ เชื่อไหมว่าทำหลายคนตกม้าตายมาแล้ว ต้องยกเลิกทริป หรือเลื่อนวันเดินทาง
.
วันเดินทาง
เราเช็คอิน + โหลดกระเป๋า ตั้งแต่ 20.30 น. แต่เวลาเดินทางจริง 23.59 น. นั่งรอ นอนรอยาวๆ ที่หน้าเกต
TG626 ออกจากสุวรรณภูมิ 23.59 น. ถึงเซนได 7.40 น. (เวลาญี่ปุ่น) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมง 41 นาที
23.45 น. พนักงานเรียกผู้โดยสารตามลำดับชั้นขึ้นรถ เที่ยวบินนี้เป็นบัสเกต
ที่นั่งเราแถว 62 อยู่บริเวณท้ายเครื่อง
ผังที่นั่งชั้นประหยัด 3-3-3 และท้ายเครื่อง 2-3-2
จำนวนผู้โดยสารในเที่ยวนี้ประมาณด้วยสายตา 85% ได้ เคยอ่านข้อมูลมาจาก facebook ของคุณ Banyong Pongpanich ให้ความรู้มาว่า อัตราส่วนบรรทุกผู้โดยสาร (Passenger Load Factor) ของอุตสาหกรรมการบินอยู่ที่ 82.1% แต่เนื่องจากการบินไทยมีต้นทุนที่สูงกว่าสายการบินอื่น ถ้าจะให้มีกำไรต้องมีผู้โดยสาร 88% ขึ้นไป ก็ขอเอาใจช่วยให้การบินไทยสามารถกลับมามีกำไรได้ในเร็วๆ นี้
โดยส่วนตัวบินกับการบินไทยมาบ้าง การบริการโดยรวม อาหารบนเครื่องใช้ได้ ราคาเพิ่มจาก Low cost ไม่มาก
หลังจากเครื่องบินได้ระดับลูกเรือก็เดินแจกของว่างยามดึก เป็นแซนวิช กับน้ำ ถ้าไม่สะดวกทานบนเครื่องแนะนำว่าไม่ต้องรับนะครับ เพราะเอาลงเครื่องไปเค้าก็ให้ทิ้งในสนามบินอยู่ดี ตามกฎใหม่ของญี่ปุ่นที่ห้ามนำเนื้อ – อาหารแปรรูปเข้าประเทศ
ของว่างมื้อดึก
พยายามหลับให้เร็วที่สุดแต่ก็ยากที่จะหลับ เนื่องจากเสียงเครื่องยนต์ท้ายเครื่องค่อนข้างดัง และระหว่างทางตกหลุมอากาศ (Turbulence) วูบไปหลายครั้ง
4.15 น. (เวลาประเทศไทย) บนเครื่องเริ่มเปิดไฟ และ เสริฟอาหารมื้อเช้า เซตนี้มีออมเลต เบคอน ครัวซ็อง โยเกิร์ต ผลไม้ น้ำส้ม เครื่องดื่ม ชา กาแฟ จะมีรถเข็นมาเสริฟทีหลัง
อารมณ์ตอนนั้นคือไม่ได้อยากทานเท่าไหร่ เพิ่งจะได้นอนไปไม่กี่ชั่วโมง ไม่ค่อยจะหลับด้วย แต่ก็ทานหมด
ปริมาณอาหาร อิ่มพอดี คุณภาพดี
หลังจากทานอาหารเสร็จ ลูกเรือเดินแจกใบ ตม และ ใบศุลกากรญี่ปุ่น หากกลัวกว่าจะกรอกไม่ถูกให้ดูคำแปลด้านล่าง
ใบ ตม. ญี่ปุ่น (ด้านหน้า)
ใบ ตม. ญี่ปุ่น (ด้านหลัง)
ส่วนใบศุลกากรดูรายละเอียดการกรอกในหน้านี้
ดู PTV มีหนัง เพลง ข้อมูลการบิน
นั่งชมวิวไปเรื่อยมีทั้งวิวภูเขา ทะเล ระหว่างทางผ่านภูเขาไฟฟูจิด้วยแต่จะเห็นไกลๆ ขาไปอยากเห็นฟูจิ ให้นั่งขวา และ ขากลับอยากเห็นฟูจิให้นั่งซ้าย
รูปบนบริเวณสถานี Kuroi Station เมือง Jōetsu จังหวัด Niigata,
พื้นที่ราบนอกเมือง ปลูกข้าวกันเยอะ ด้วยประชากรที่มี 126.7 ล้านคน การบริโภคข้าวก็มีมาก การใช้พื้นที่ของเค้าใช้ประโยชน์ได้คุ้มค่ามาก ที่ดินที่ไม่เพาะปลูกก็ทำ Solar farm ผลิตไฟฟ้า
8.20 น. เครื่องลงจอดที่สนามบินเซนได ถึงช้ากว่าที่กำหนด 40 นาที ก่อนลงจากเครื่องอย่าลืมปรับเวลาให้เป็นเวลาท้องถิ่นญี่ปุ่น คือเร็วกว่าไทย 2 ชั่วโมง
.
ผ่าน ตม. ญี่ปุ่น และศุลกากร
ขั้นตอนนี้จะไม่มีรูปถ่าย เนื่องจากบริเวณ Immigration ทุกประเทศห้ามถ่ายรูป เนื่องจากที่นี่มีเที่ยวบินอินเตอร์มาลงไม่มาก ตม. ญี่ปุ่น สนามบินเซนได เค้าจะเปิดเป็นรอบๆ ตามเที่ยวบินที่ลง ช่วงที่การบินไทยลง ก็จะมีคนจากเที่ยวบินนั้นอย่างเดียว มีเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวก ช่วยจัดคิวให้อย่างดี การผ่าน ตม. ญี่ปุ่น ก็เหมือนสนามบินอื่นๆ คือ ยื่น Passport – แสกนนิ้ว – ประทับตราวีซ่า – รับเล่มคืน
ผ่าน ตม. – รับกระเป๋า – ขั้นตอนสุดท้ายคือศุลกากร เรารับรู้ได้เลยว่าเค้าตรวจละเอียดมากขึ้น เพราะมีการลักลอบขนยาเสพติด ของผิดกฎหมายอยู่บ่อยๆ จากนักท่องเที่ยว ศุลกากรมีการสุ่มตรวจกระเป๋า ถ้าสงสัยจะขอเปิดกระเป๋า หยิบของดูทีละชิ้น แต่ก็ทำด้วยความสุภาพ มีที่บังเวลาตรวจค้นกระเป๋า
รวมแล้วใช้เวลากับ ตม. – ศุลกากรประมาณ 1 ชั่วโมง
จากนั้นก็ล้างหน้า ล้างตา แปรงฟัน ให้สดชื่น เดินทางเข้าเมืองเซ็นได
สนามบินเซนได เป็นสนามบินไม่ใหญ่ แต่ก็มีครบมีบินในประเทศ และ ต่างประเทศ สิ่งอำนวยความสะดวกมีร้านสะดวกซื้อ Daily ร้านอาหาร ร้านกาแฟ และ สถานีรถไฟ
การเดินทางเข้าเมืองเซนได ให้เดินตามป้าย Rail Station ที่อยู่ชั้นสอง
ค่าโดยสารคนละ 660 เยน จะซื้อตั๋วผ่านตู้ หรือ IC Cards อย่างเช่น Suica ก็ได้ เดินทางด้วยรถไฟ Sendai Airport Access Line for SENDAI ใช้เวลาเดินทางประมาณ 25 นาที ความถี่ของรถไฟประมาณทุก 30 นาที
หน้าตารถไฟเหมือนรถไฟวิ่งระหว่างเมือง ตู้ใหม่ มีห้องน้ำด้วย
10.45 น. ถึงสถานีเซนได สถานีใหญ่ของเมืองเซนได เป็นจุดต่อรถไฟ รถบัส มีทั้งรถไฟวิ่งระหว่างเมือง และ รถไฟ Shinkansen
แลก Exchange Order เป็น JR East pass Tohoku
ภารกิจต่อไปของเราคือหา JR EAST Travel Service Center แล้วทำการแลกเป็น JR East Pass Tohoku ตัวจริง มีไกด์ไลน์ในการหาให้นิดนึง ให้มองป้ายบอกทาง “JR EAST Travel Service Center” หรือป้าย “West Exit” ก็ได้ หาไม่ยากสถานีไม่ซับซ้อนเหมือน Shinjuku
การแลกเป็น JR East Pass Tohoku ตัวจริง ให้ใช้ Exchange Order (Voucher) + Passport พนักงานที่นี่เป๊ะมาก เอาปากกาติ๊กชื่อ – นามสกุล ทุกตัวอักษรเลย Exchange Order ที่ซื้อมาอย่าให้ชื่อสะกดผิดนะครับ สำคัญมาก จากนั้นจะมีให้เซ็นชื่อที่ด้านหลัง JR East Pass Tohoku ตัวจริง
ได้พาสมาแล้วก็ให้พนักงานช่วยจองที่นั่งไป Aomori ต่อเลย Shinkansen ที่ไป Aomori จะเป็น Shinkansen Hayabusa ทุกที่นั่งต้องจอง ไม่มีตู้ Non reserved
เดินทาง Sendai – Shin Aomori รอบ 11.41 น. ด้วยรถไฟ SHINKANSEN HAYABUSA 13 ใช้เวลาเดินทาง 103 นาที ระยะทาง 361.9 กิโลเมตร
ในการใช้งาน JR East Pass Tohoku ครั้งแรกของแต่ละวัน เจ้าหน้าที่จะปั๊มตราลงวันที่ ถ้าวันไหนมีตราปั๊มครบ 5 ครั้ง วันนั้นจะใช้ได้เป็นวันสุดท้าย
Track ขึ้นรถไฟ Shinkansen จะมองเห็นวิวหน้าสถานีเซนไดฝั่งตะวันตก มีร้านค้าใหญ่ๆ อยู่ฝั่งนี้หลายร้าน
รถไฟสีเขียว สีแดงที่เห็นจูบกันอย่างนี้ เนื่องจากเค้าเดินทางทับเส้นทางกันในช่วง Tokyo – Morioka ก็เลยไปด้วยกันเสียเลย ช่วยประหยัดพลังงานกว่าวิ่งแยก และลดการจราจรบนรางรถไฟ เมื่อถึงสถานี Morioka ต่างฝ่ายก็จะแยกย้ายไปยังเส้นทางจองตัวเอง
- สีเขียว Shinkansen Hayabusa เส้นทาง Tokyo – Shin Aomori
- สีแดง Shinkansen Komachi เส้นทาง Tokyo – Akita
ความเร็วของ Shinkansen Hayabusa ได้รับการจัดอันดับว่าเป็น Shinkansen ที่วิ่งเร็วที่สุดในญี่ปุ่น โดยทำความเร็วสูงสุด 300-320 กิโลเมตร / ชั่วโมง ใครเดินทางในเส้นทางนี้ถือเป็นความโชคดีที่ได้นั่งขบวนรถไฟที่เร็วที่สุดในญี่ปุ่น ตัวรถไฟ Shinkansen เป็นรุ่น E5 series ผลิตโดยบริษัท Hitachi Rail และ Kawasaki Heavy Industries
11.41 น. Shinkansen Hayabusa มาตรงตามเวลา
การขึ้นรถไฟ ควรขึ้นให้ตรงกับตู้ ในบัตรที่นั่ง ถ้าขึ้นผิดตู้แล้วต้องลากกระเป๋าข้ามตู้ก็เป็นเรื่องลำบากเหมือนกัน
บนรถไฟมีที่เก็บของเหนือศรีษะ เก็บพวกกระเป๋าถือ กระเป๋าเป้ หรือ กระเป๋าล้อลากขนาดไม่เกิน 20 นิ้ว
กระเป๋าขนาดไม่เกิน 24 นิ้ว วางหน้าขาพอได้เหมือนกัน
หรือจะวางที่เบาะสุดท้ายของแต่ละตู้ก็ได้ แนะนำให้วางนอน จะได้ไม่เกะกะเวลาคนนั่งปรับเอน
กฎใหม่ ในการเดินทางพร้อมกระเป๋าบนขบวน Shinkansen มีผลปี 2020
- กระเป๋าที่มีผลรวม กว้าง + ยาว+ลึก ต่ำกว่า 160 เซน (22 นิ้ว) ถือขึ้นรถไฟได้เลย
- กระเป๋าที่มีผลรวม กว้าง + ยาว+ลึก ต่ำกว่า 160 เซน (23-28 นิ้ว) จะต้องจองพื้นที่วางกระเป๋าก่อนขึ้นรถไฟ จะมีพื้นที่วางให้ จองฟรี แต่ถ้าไม่จองจะมีค่าปรับ 1,000 เยน / ใบ
- ข้อมูลเพิ่มเติม https://global.jr-central.co.jp/en/info/oversized-baggage/
ระหว่างเดินทาง รถไฟนั่งสบายมาก และไม่ได้มีผู้โดยสารมากเท่าไหร่ ไม่ได้รู้สึกว่ารถไฟวิ่งเร็ว วิ่งนิ่มมาก ถ้ายก shinkansen มาไว้ในไทย กรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ก็ใช้เวลาไม่ถึง 3 ชั่วโมง
13.24 น. ถึงสถานี Shin Aomori ต้องต่อรถไฟไปอีก 1 สถานี เพื่อไปยัง Aomori
สถานี Aomori
เป็นสถานีใหญ่แห่งเมือง Aomori เป็นศูนย์กลางของรถไฟ รถบัสไปยังเมืองต่างๆ แต่จะไม่มีรถไฟ Shinkansen เพราะจะให้บริการที่สถานี Shin Aomori
ติดกับสถานี Aomori จะเป็นห้าง LOVINA มีซุปเปอร์มาร์เกต ร้าน MUJI ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านเครื่องสำอาง MatsumotoKiyoshi ฯลฯ
วันพรุ่งนี้เรามีโปรแกรมเที่ยวทะเลสาบ Lake Towada – Oirase ซึ่งจะต้องเดินทางด้วยรถ JR Bus เพื่อความชัวร์เราจึงเข้าไปขอตารางรถบัสที่ Tourist Information Center Aomori City ที่อยู่บริเวณหน้าสถานี Aomori และ ถามถึงจุดจอดรถบัส ก็จะเป็นป้ายหมายเลข 11 ข้างๆ Tourist Information
ที่ญี่ปุ่นถ้าเจอ Tourist Information แปลว่าเรารอดจากการหลงได้แน่นอน เจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำดีมาก เราสามารถขอข้อมูลท่องเที่ยวได้ มีเอกสารท่องเที่ยวให้ครบ บางครั้งก็มีเอกสารภาษาไทยด้วย
จากสถานีรถไฟ เราเดินต่อไปยังที่พักของเรา APA Hotel Aomori-Eki Higashi ใช้เวลาเดินประมาณ 5 นาที เราไปถึงโรงแรมประมาณ 14.30 น. แต่เวลาเช็คอินคือเวลา 15.00 น. เลยขอฝากกระเป๋าไว้ก่อน สิ่งที่ไม่ค่อยชอบโรงแรมญี่ปุ่นคือให้เช็คอินได้ช้ามาก ต่างจากบ้านเราเที่ยงก็เข้าพักได้แล้ว
ไม่มีกระเป๋าเดินทางให้ลากแล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาเที่ยวจริงๆ เสียที โปรแกรมเที่ยววันนี้เป็นแบบเบาๆ ที่พิพิธภัณฑ์ Nebuta Museum WA RASSE และ A-FACTORY ทั้งสองที่นี้เดินไปจากโรงแรมได้เลย
ระหว่างทางเราเห็นต้นแอปเปิ้ลปลูกอยู่ริมถนน บ่งบอกถึงความเป็นเมืองแห่งแอปเปิ้ล เคยอ่านเจอมาว่าที่อะโอโมริ (Aomori) มีผลผลิตแอปเปิ้ลมากกว่า 50% ของจำนวนแอปเปิ้ลที่ขายในญี่ปุ่น
ใบแปะก๊วยที่ Aomori เปลี่ยนสีแล้ว ไวกว่าโตเกียวประมาณ 4 สัปดาห์
อาคารสีแดงในรูปด้านบนเป็น พิพิธภัณฑ์ Nebuta Museum WA RASSE พิพิธภัณฑ์นี้จะรวบรวบโคมไฟแห่ในเทศกาล Nebuta Matsuri ซึ่งเป็นงานประจำปีที่มีขึ้นในต้นเดือนสิงหาคม จัดว่าเป็นงานใหญ่ใน Aomori สืบทอดมากว่า 300 ปี ภายในพิพิธภัณฑ์จะมีการจำลองบรรยากาศ มีการแสดงตีกลอง แบบที่ใช้ในขบวนแห่
การเข้าชมจะเริ่มที่ชั้น 2 ซื้อบัตรเข้าชมผ่านตู้จำหน่าย ค่าเข้าชมคนละ 620 เยน
ความเป็นมาของเทศกาล Nebuta Matsuri เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ.1600 เลย เค้าจะเรียงเป็น Timeline ในแต่ละช่วง ว่ามีเหตุการณ์อะไรบ้าง
ในรูปด้านล่างทำเป็นอุโมงค์ บอกเทคนิคที่ใช้ในการทำโคม ซึ่งจะมีเทคนิคใหม่ๆ เพิ่มมาตลอด
ภายในพิพิธภัณฑ์มีให้สแกน QR Code เพื่อฟังบรรยาย หนึ่งในนั้นมีภาษาไทยด้วย
มุมมองจากชั้น 2 ลงมาด้านล่าง เห็นโคมไฟ ใหญ่มาก มีมิติ
โคมรูปหน้าคน สามารถกรอกตาไปมาได้ด้วย บรรยากาศมืดๆ ดูแล้วแอบน่ากลัวนิดๆ
ไฮไลต์ของพิพิธภัณฑ์จะเป็นโคมขนาดใหญ่ที่ใช้แห่ มีขนาดใหญ่มาก เป็นโคมแบบ 3 มิติ นูนขึ้นมาจริงๆ ด้านในมีแกนลวดเป็นโครงสร้าง สีสันก็ทำให้ดูมีมิติ เป็นลายเส้นแบบญี่ปุ่น
เรื่องราวในโคมดูแล้วน่าจะเกี่ยวกับเทพเจ้า มาร การต่อสู้กับสิ่งชั่วร้าย
นอกจากจะมีโคมให้ชมแล้ว ยังมีกิจกรรม การเต้น Haneto ตีกลอง รูปแบบเดียวกับใบขบวนแห่ มีอยู่ด้วยกัน 3 รอบ กิจกรรมจะเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ นักท่องเที่ยวอย่างเราอาจดูแล้วไม่เข้าใจ
- 11.00 น.
- 13.00 น.
- 15.00 น.
คนชอบถ่ายรูปน่าจะถูกใจที่นี่ แสงไฟสวย ถ่ายแล้วขึ้นกล้อง แต่ถ้าจะถ่ายคนในนี้ดูจะยากแสงไฟจากโคมจะเด่น ส่วนหน้าเราจะมืด
เดินเพลินๆ แป๊ปเดียวก็หมดแล้ว ใช้เวลาไปประมาณ 25 นาที ตรงทางออกจะมีร้านของฝาก เช่น เสื้อที่ระลึก พัด ขนม ราคาค่อนข้างสูงเลยละ
Buffet Seafood
ในพิพิธภัณฑ์มีร้านอาหาร และไม่ใช่ร้านอาหารธรรมดา เป็นบุฟเฟ่ต์อาหารทะเลด้วย เห็นวิวอ่าวมุซึ (Mutsu Bay) จากข้อมูลในเวบพิพิธภัณฑ์ ในรูปภาพเขียนว่าให้บริการ 11.00-15.00 น. ไม่แน่ใจว่ายังเปิดใหม้บริการไหม เพราะวันที่ไปก็ไม่มีคน แต่ในหน้าเวบแจ้งมามี
เดินถัดจาก Nebuta House Wa Rasse ไปนิดเดียวจะเห็นอาคารที่มีหลังคาคล้ายโรงงาน หรือ โกดัง มีชื่อว่า A-Factory
A-Factory (エー・ファクトリ)
อ่านว่า เอ-แฟคทอรี่ ตัวอักษร “A” น่าจะย่อมายาก Apple ที่นี่เป็นร้านขายของฝาก โดยเน้นผลิตภัณฑ์ของเมือง Aomori เช่น แอปเปิ้ล, น้ำ Apple cidre, ขนม, แยม ด้านหลังเป็นศูนย์อาหารขนาดเล็ก สินค้าในนี้คุณภาพดี ราคาบางอย่างถูกกว่าซื้อในซุปเปอร์มาเก็ต ถ้าเน้นมาซื้อของฝากรับรองว่าต้องได้ของกลับไป
มุมนี้เป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยม
AOMORI CIDRE
อะโอโมริ ไซเดอร์ เป็นหนึ่งในสินค้าที่ขายดี ใน A-FACTORY ใครๆ ก็มาซื้อ เป็นน้ำสปาร์คกิ้ง ซ่าๆ ที่ทำมาจากน้ำแอปเปิ้ล มีแอลกฮอล์ด้วย ใช้แอปเปิ้ลในเมือง Aomori แนะนำให้ซื้อที่นี่เลย หรือจะทานเลยก็ได้ เพราะไม่ได้มีขายตามร้านทั่วไป
เมืองแอปเปิ้ล ก็ต้องมีแอปเปิ้ลขาย ในรูปด้านล่าง 1 ลูก 250 เยน (ประมาณ 250*0.28 = 70 บาท) ถ้าต้องการความพรีเมี่ยมมากกว่านี้ลูกละพันเยน เค้าก็มีขาย
เดินต่อไปทางด้านหลัง A-FACTORY บริเวณอ่าว Aomori Bay จะเห็นเรือขนาดใหญ่ สีขาว-เหลือง จอดอยู่ มีชื่อเรือว่า memorial-ship HAKKODA-MARU เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ ให้คนเข้าชม (วันที่ไป 1 พ.ย. 62 ไม่เห็นคนขึ้น ไม่มีทางไป ไม่แน่ใจยังเปิดให้เข้าชมไหม)
ในอดีต เรือ HAKKODA-MARU เป็นเรือ Ferry ขนาดใหญ่มาก ให้บริการระหว่าง Aomori – Hokkaido ในช่วงปี ค.ศ.1966 – 1988 ระยะทางประมาณ 70 กิโลเมตร สามารถขนคน รถยนต์ หรือ ใหญ่ขนาดรถไฟก็ยังขนได้ ต่อมามีการเชื่อมอุโมงค์ใต้ทะเลสำเร็จ การเดินทางด้วยรถไฟดูจะสะดวกและปลอดภัยกว่าเรือ เรือ HAKKODA-MARU เลยหยุดให้บริการ
เดินเล่นบริเวณรอบๆ สถานีอะโอโมริ จนถึง 4 โมงเย็น แวะห้าง LOVINA ซื้อข้าวหมูทอด คัตสึด้ง กลับไปทานที่โรงแรม กะว่าวันนี้จะไม่ออกมาแล้ว อยากจะนอนพักยาวๆ
16.30 น. พระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้ว เที่ยวหน้าหนาวญี่ปุ่น ต้องทำใจ กลางวันสั้น แสงหมดไว
เมือง Aomori เป็นเมืองเงียบๆ กลางคืนร้านค้าปิดเกือบหมด ไม่มีที่เดินเล่น ช๊อปปิ้งกลางคืน ต่างกับเมืองใหญ่อย่างโอซาก้า และ โตเกียว แต่ก็ยังดีที่มี FamilyMart, Daily ร้านสะดวกซื้อที่ซื้อได้ตลอดแม้จะกลับมาถึงดึก
เดินประมาณ 5 นาทีก็ถึงโรงแรม ติดต่อเช็คอิน ในทริปนี้เรานอนโรงแรม APA Hotel Aomori-Eki Higashi ทั้งหมด 3 คืน จองผ่าน Agoda ห้อง Double Non Smoking ไม่มีอาหารเช้า
ราคาเฉลี่ยคืนละ 2,216 บาท จองผ่านทางช่องทางนี้
เราเลือกจองแบบจ่ายทีหลัง และยกเลิกได้ฟรี การจองที่ยืดหยุ่นทำให้เราปรับแผนได้ตลอดเวลา
โรงแรม APA Hotel Aomori-Eki Higashi
เป็นหนึ่งในเชนโรงแรมดัง APA (เอพีเอ) มีสาขาอยู่ทั่วญี่ปุ่น อยู่ในระดับ 3-4 ดาว ราคาเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยว คนไทยไปพักเยอะ ห้องพักมาตราฐาน สิ่งอำนวยความสะดวกครบ มีข้อเสียนิดหน่อยคือห้องเล็ก สำหรับสาขานี้มีจุดเด่นที่ทำเล เดินไปสถานที่สำคัญได้ภายใน 5 นาที ใกล้ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ
- Aomori Station เดิน 350 เมตร
- พิพิธภัณฑ์ Nebuta Museum WA RASSE และ A-FACTORY เดิน 300 เมตร
- ตลาดปลา Auga เดิน 300 เมตร
- ตลาดปลา Furukawa เดิน 500 เมตร
- ย่านการค้า ช๊อปปิ้ง ห้าง ถนน Shinmachi Dori เดิน 150 เมตร
เช็คอินเสร็จพนักงานจะให้กุญแจมา สามารถใช้ wifi ในโรงแรมได้เลย
จากข้อมูลของ agoda แจ้งว่าขนาดห้อง 14 ตารางเมตร
เปิดประตูห้องเข้ามา ให้เสียบกุญแจด้านซ้าย ให้ระบบไฟฟ้าในห้องทำงาน ทางด้านขวาจะเป็นที่แขวนเสื้อผ้า ด้านล่างวางกระเป๋าเดินทางได้ หรือถ้าต้องการเอาของในกระเป๋าเดินทางต้องวางหน้าห้องน้ำ
ถังขยะในห้องแยกเป็นขยะที่เผาไหม้ได้ กับเผาไหม่ไม่ได้ เช่น กระป๋อง ขวดแก้ว
ภายในห้องไม่ใหม่ แต่ก็ไม่เก่า ความสะอาดในเกณฑ์มาตราฐาน
ที่หัวเตียงมีนาฬิกาปลุก ปลั๊กไฟสำหรับชาร์จโทรศัพท์ มีช่องชาร์จแบบ USB ด้วย ควบคุมไฟที่สวิตช์หัวเตียง ส่วนแท่งขาวๆ ในรูปด้านล่างเป็นไฟฉายฉุกเฉิน
สิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ก็มีตู้เย็นเล็ก ไดร์เป่าผม กาต้มน้ำ ชา กาแฟ เครื่องฟอกอากาศขนาดเล็ก
TV จะอยู่ปลายเตียง มี Video on-demand (VOD) ดูหนัง รวมถึงหนัง 18+ ด้วย ถ้าจำไม่ผิดวันละ 1,000 เยน
ห้องน้ำ
เป็นกล่องสำเร็จรูปเหมือนโรงแรมทั่วไป โดยรวมมีสภาพเก่านิดนึง สุขภัณฑ์แบบอัติโนมัติ ของใช้ในห้องน้ำมีให้ครบ เช่นยาสีฟัน แปรงสีฟัน มีดโกนหนวด คัตตอนบัด ผ้านุ่มๆ ถูตัว
สบู่ล้างมือ แก้วน้ำ ครีมอาบน้ำ ครีมนวด ยาสระผม มีให้ครบ ขอติเรื่องแก้วน้ำหน่อย เป็นแก้วกระดาษ ดูไม่ค่อยน่าใช้
ครีมอาบน้ำ ครีมนวด ยาสระผม กลิ่นหอม คุณภาพดี
ก๊อกน้ำมี 1 ก๊อก แชร์กันระหว่างอ่างล้างหน้า กับอ่างอาบน้ำ ก๊อกแดง ก๊อกน้ำเงิน สำหรับปล่อยน้ำร้อน – เย็นมาผสมกัน ก๊อกดำเลือกว่าจะปล่อยที่อ่างล้างหน้าหรืออ่างอาบน้ำ เวลาใช้จริงค่อนข้างงง
ผ้าเช็ดตัวผืนเล็ก 2 ผืน และ ใหญ่ 2 ผืน
หลังจากอาบน้ำเสร็จ เราก็เตรียมตัวนอน คืนนี้หลับเร็วตั้งแต่ 20.30 น. เหนื่อยจากการเดินทาง และอดนอนตอนอยู่บนเครื่อง พรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวที่ทะเลสาบโทวาดะ ลำธารโออิราเซะ Lake Towada – Oirase ว่ากันว่าเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยที่สุดในภูมิภาคโทโฮคุ ติดตามชมกันตอนต่อไปครับ
อ่านตอนต่อไป เที่ยวทะเลสาบโทวาดะ ลำธารโออิราเสะ (Lake Towada – Oirase) ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี
- รีวิวเที่ยวญี่ปุ่น ภูมิภาค Tohoku – พิพิธภัณฑ์โคมไฟ Nebuta Aomori
- เที่ยวทะเลสาบโทวาดะ ลำธารโออิราเสะ (Lake Towada – Oirase) ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี
- ชมใบไม้เปลี่ยนสี Nakano Momiji Yama ปราสาท Hirosaki
- เที่ยวตลาดปลา Auga – Furukawa นั่ง Shinkansen เที่ยวในเมือง Morioka
- เที่ยววัด Yamadera วัดงามบนภูเขา ชมปราสาท Yamagata
- ชมวิวชั้น 31 ตึก AER จุดชมวิวฟรี ใกล้สถานี Sendai
- เที่ยวเมืองเซนได Sendai ใน 1 วัน ด้วย Loople Bus
- ปิดทริป Tohoku เดินทางกลับไทย เซนได-กรุงเทพฯ TG 627
Post Views 1030