รีวิวเที่ยวโกเบ ย่าน Kitano หุ่นยนต์เหล็กหมายเลข 28 เดินเล่นท่าเรือโกเบ
จากโอซาก้า มีเมืองรอบๆ ที่สามารถเดินทางไปเที่ยวแบบเช้าไป – เย็นกลับได้หลายเมือง เช่น เกียวโต นารา โกเบ และ ฮิเมจิ เราเคยรีวิวเมืองโอซาก้า เกียวโต และนาราแล้ว ครั้งนี้จะรีวิวเมืองโกเบ เมืองท่าที่สำคัญในภูมิภาคคันไซ และเมืองแห่งเนื้อโกเบ
การไปเที่ยวโกเบควรมีเวลา 1-2 วัน ในรีวิวนี้เราจะไปเที่ยวโกเบ 1 วัน สถานที่ที่ไปก็มีดังนี้ครับ 1. คิตาโนะ (Kitano) บ้านเมืองเก่าที่ต่างชาติมาสร้างไว้ในสมัยเมจิ 2. ถ่ายรูปกับหุ่นยนต์เหล็กหมายเลข 28 (Tetsujin 28-go) 3. ท่าเรือโกเบ ห้าง Mosaic หอคอยโกเบ ชิงช้าสวรรค์ อนุสรณ์สถานเเผ่นดินไหว (Meriken Park) 4. ย่านคนจีน Kobe Chinatown
การเดินทางจากโอซาก้าไปเมืองโกเบ
- รถไฟ JR : ขึ้นรถไฟ JR Special Rapid Service for HIMEJI ที่สถานี JR Osaka ไปลงที่สถานี JR Sannomiya ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ค่าโดยสาร 410 เยน (เหมาะสำหรับผู้ไม่มีพาสใดๆ)
- รถไฟ Shinkansen : ขึ้นรถไฟ SHINKANSEN SAKURA, HIKARI, NOZOMI* ที่สถานี JR Shin-Osaka ไปลงที่สถานี JR Shin-Kobe ใช้เวลาประมาณ 13 นาที ค่าโดยสาร 3,300 เยน (มี JR Pass ขึ้นได้ฟรี เหมาะสำหรับผู้มี JR Pass หรือ อยากลองนั่ง Shinkansen)
- รถไฟ Hanshin : ขึ้นรถไฟ Hanshin/Sanyo Through Ltd. Exp. for SANYOHIMEJI ที่สถานี Umeda (Hanshin) ไปลงที่สถานี Kobe Sannomiya (Hanshin) ใช้เวลา 30 นาที ค่าโดยสาร 320 เยน (มี KTP ขึ้นได้ฟรี)
- รถไฟ Hankyu : ขึ้นรถไฟ Hankyu Kobe Line Ltd. Exp. for SHINKAICHI ที่สถานี Umeda (Hankyu) ไปลงที่สถานี Kobe Sannomiya (Hankyu) ใช้เวลาประมาณ 27 นาที ค่าโดยสาร 320 เยน (มี KTP ขึ้นได้ฟรี)
NOZOMI* ขบวนรถไฟ NOZOMI ไม่สามารถใช้ JR Pass ได้
เราเลือกเดินทางไปกับรถไฟ JR เนื่องจากว่าใช้เวลาเดินทางไม่นาน ออกจากสถานี JR Osaka 9:30 น.
ก่อนที่รถไฟจะถึงโกเบ ขอเล่าถึงเมืองโกเบแบบคร่าวๆ การได้รู้รายละเอียดของเมืองทำให้เที่ยวได้สนุกยิ่งขึ้น และ เป็นความรู้รอบตัว
เมืองโกเบ (神戸市 : Kobe)
เป็นเมืองท่าที่สำคัญ อยู่ในจังหวัดเฮียวโกะ (Hyōgo Prefecture) ห่างจากโอซาก้าประมาณ 35 กิโลเมตร ในอดีตหลายร้อยปีที่ผ่านมาเมืองโกเบเป็นเมืองท่าที่ติดต่อ ค้าขายกับต่างชาติ มีย่านคิตาโนะ (Kitano) เป็นย่านที่พักของชาวต่างชาติ บ้านเรือนเป็นแบบสไตล์ตะวันตก ปัจจุบันบ้านเรือนเหล่านี้ได้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม นอกจากนี้ยังมีย่านคนจีน หรือ Chinatown ที่คาดว่าเป็นคนจีนที่เข้ามาค้าขายในสมัยคามาคุระ (ค.ศ. 1185–1333)
ในปี ค.ศ. 1995 โกเบเจอกับแผ่นดินไหวครั้งรุนแรง (Great Hanshin-Awaji Earthquake) มีผู้คนเสียชีวิตกว่า 5,000 คน สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ เช่นตึก ท่าเรือ สะพานยกระดับ พังทั้งแถบ เสียหายเป็นจำนวนมาก ในวันนี้โกเบ สร้างตึกใหม่และซ่อมแซมความเสียหายทั้งหมด เหลือไว้เพียงอนุสรณ์สถานเเผ่นดินไหว เป็นที่ระลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนี้
9:53 น. เราก็มาถึงสถานี JR Sannomiya สถานีนี้เป็นเหมือนศูนย์กลางการท่องเที่ยวในโกเบ ไม่ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนก็ต้องมาเริ่มต้นที่นี่
ที่สถานี JR Sannomiya มีตู้ Locker ไว้ฝากของ
การเดินทางในโกเบ
เราใช้วิธีนั่งรถบัส Kobe Cityloop + รถไฟ ในเส้นทางที่รถบัสไปไม่ถึง สถานที่ท่องเที่ยวส่วนมากจะอยู่ในเส้นทางของ Kobe Cityloop เช่น Kitano, Kobe city hall, Kobe City Meseum, ท่าเรือโกเบ หอคอยโกเบ Meriken Park, Kobe Chinatown, สถานี Shin-Kobe และกระเช้า Kobe Nunobiki Ropeway
ค่าโดยสารรถ Kobe Cityloop ราคา 260 เยน และมีบัตรโดยสารแบบ 1 Day pass (Kobe Cityloop) ราคา 660 เยน ถ้าเดินทางมากกว่า 3 ครั้งใน 1 วัน ซื้อตั๋วแบบ 1 Day pass จะคุ้มกว่า และบัตรโดยสารแบบ 1 Day pass มีส่วนลดในการเข้าชมสถานที่ต่างๆ อีกมากมาย เช่นขึ้นหอคอยโกเบ ลดไป 100 เยน, เข้าชมบ้าน Weathercock House ลด 10%, เข้าชมบ้าน Moegi House ลด 20% และส่วนลดอื่นๆ ที่ไม่ได้กล่าวถึง ให้คลิ๊กที่รูปด้านล่างนะครับ
ตารางส่วนลดการเข้าชม สำหรับผู้มี 1 Day pass
สถานที่ซื้อบัตร 1 Day pass (Kobe Cityloop)
บัตรโดยสารแบบ 1 Day pass สามารถซื้อได้ที่ Kobe city information อยู่ทางทิศใต้ของสถานี JR Sannomiya (ติดกับสถานีเลย) และนอกจากนี้ยังสามารถซื้อได้บนรถบัส Kobe Cityloop ทุกคัน
การไปซื้อที่ Kobe city information มีข้อดีตรงที่เราสามารถสอบถามข้อมูลการท่องเที่ยวในโกเบ เจ้าหน้าที่แนะนำดีมากครับ มีสตาฟชาวญี่ปุ่นพูดภาษาอังกฤษได้ดี และยังใจดีเดินมาส่งเราที่ป้ายรถเมล์อีก
บัตรโดยสารแบบ 1 Day pass หน้าตาเป็นบัตรแบบนี้ครับ
ข้อมูลที่ได้มาก็มีแผนที่ Kobe Cityloop, ตารางเวลารถ, สถานที่สำคัญต่างๆ, ตารางส่วนลดค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ และ ข้อมูลท่องเที่ยวเมืองโกเบ
เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ก็เริ่มเที่ยวเมืองโกเบกันครับ
เราขึ้นรถ Cityloop ที่ป้ายหมายเลข 7 สถานที่แรกที่ไปเป็นย่านคิตาโนะ ย่านที่พักอาศัยของชาวตะวันตกที่เข้ามาค้าขาย และ ท่านทูตจากประเทศต่างๆ ที่เข้ามาในช่วงปีศตวรรษที่ 19
ที่ป้ายรถเมล์เมืองโกเบจะมีตารางเวลาบอกว่ารถจะมาถึงเมื่อไหร่ และรถก็มาถึงตรงเวลาจริงๆ ครับ ในวันธรรมดารถจะมีชั่วโมงละ 3-4 คัน และในวันหยุดมีชั่วโมงละ 4-5 คัน
หน้าตารถเมล์ที่วิ่งในเมืองจะเป็นรถหน้าตามาตราฐานตามรูปด้านบน
ส่วนรถ Cityloop จะเป็นรถบัสสีเขียว หน้าตาดูย้อนยุคนิดนึง การขึ้นรถ Cityloop ให้ขึ้นและลงที่ประตูหลังอย่างเดียว ก่อนจะลงให้ยื่นบัตรโดยสารให้พนักงานเสียบเข้าเครื่อง
รถ Cityloop เป็นรถสำหรับนักท่องเที่ยว บนรถจะมีพนักงานต้อนรับ เป็นผู้หญิงใส่ชุดฟอร์ม สวมหมวก เธอคนนี้จะบรรยายถึงป้ายรถเมล์จุดสำคัญ แต่จะบรรยายเป็นภาษาญี่ปุ่นอย่างเดียวครับ หลังจากบรรยายเสร็จก็จะถามว่าใครจะซื้อ 1 Day pass (Kobe Cityloop) บ้าง มีขายบนรถ
บนรถมีจอ LCD บอกว่ารถกำลังจะไปถึงป้ายหมายเลขอะไร wifi ฟรีก็มีให้ใช้ สะดวกสบายดีจริงๆ
ระหว่างป้ายหมายเลข 9 ถึงป้ายหมายเลข 10 มีร้านกาแฟ Starbucks สาขา Kobe Kitano Ijinkan ร้านนี้ตกแต่งสวยมาก รถบัสขับผ่านแต่หยิบกล้องมาถ่ายรูปไม่ทัน
ร้าน Starbucks สาขานี้ตกแต่งสไตล์ตะวันตก ศตวรรษที่ 19 เป็นบ้านไม้สองชั้น สีขาว – เขียว สีประจำร้าน Starbucks ตัวร้านเป็นบ้านชาวอเมริกันที่สร้างในปี ค.ศ. 1907 หลังจากตัวบ้านได้รับความเสียหายในแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ของโกเบ บ้านหลังนี้ก็บริจาคให้เป็นสมบัติของเมืองโกเบ มีการรื้อและซ่อมแซมใหม่ และย้ายที่ตั้งมาอยู่ในที่ปัจจุบัน ในปี ค.ศ. 2009 Starbucks ขอเปิดเป็นร้านกาแฟ
ท่านใดชอบเที่ยวแบบ Slow life แนะนำว่าเริ่มต้นวันด้วยการมาจิบกาแฟ Starbucks ที่สาขา Kobe Kitano Ijinkan ก็เป็นไอเดียที่ไม่เลวครับ
เราลงรถที่ป้ายหมายเลข 10 นักท่องเที่ยวคนอื่นๆ เกือบทั้งรถก็ลงที่ป้ายนี้เช่นกัน
สถานที่ท่องเที่ยวในย่านนี้ก็มีค่อนข้างมาก ส่วนมากเป็นบ้านเก่าของชาวต่างชาติ, พิพิธภัณฑ์ เช่น England House, Denmark House, Moegi House, Weathercock House, Yokan Nagaya, Ben’s House, Kobe Misterious Consulate of Trick Art, Kobe Kitano Museum ฯลฯ
ด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่เยอะจัดแบบนี้ เข้าทั้งหมดคงไม่ต้องไปไหนกันพอดี เราคัดเด็ดๆ มา 3 ที่พอครับ บ้านอื่นๆ ก็จะคล้ายๆ กัน
บ้านหลังแรกชื่อว่า Rhine House เป็นบ้านไม้ 2 ชั้น สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1915 โดย J.R. Drewell ด้านในจัดแสดงประวัติความเป็นมาของ บ้านเรือนชาวต่างชาติ (ijinkan) ในย่านคิตาโนะ แต่ตอนนี้ปิดปรับปรุงด้านในอยู่ บ้านหลังนี้เข้าชมได้ฟรี
วันที่ไปมีเด็กมัธยมมาทัศนศึกษาที่บ้านหลังนี้ การเรียนการสอนของญี่ปุ่นจะเน้นให้มาเห็นของจริง ทุกสถานที่สำคัญของเค้าจะมีเด็กมาทัศนศึกษาตลอด
เดินไปถ่ายรูปที่ด้านหลังบ้านบ้าง
บ้านที่เห็นสวยๆ อยู่นี้ส่วนมากจะปรับปรุงทำใหม่ โดยคงไว้ซึ่งสถาปัตยกรรมแบบเดิม
ข้างบ้านมีที่ Stamp ขนาดใหญ่ ชาวญี่ปุ่นชอบที่จะประทับตรายาง ในสถานที่สำคัญที่ได้ไปมา
เราก็เอากับเค้าบ้าง Stamp ลงกระดาษเก็บไว้เป็นที่ระลึก
เดินมาเรื่อยๆ เจอกับศาลเจ้า Kitano Tenman Shrine
หลังที่เป็นไฮไลต์ของย่านคิตาโนะ ต้องยกให้กับเวอเธอร์คอค เฮ้าส์ (Weathercock House)
Weathercock House เป็นบ้านของนักธุรกิจชาวเยอรมัน สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1909 เป็นบ้านสไตล์อิฐ มีหลังคาแหลมสูง ตัวบ้านตั้งอยู่บนเนินเขาเมื่ออยู่บนบ้านจะมองเห็นวิวเมืองโกเบ ชื่อบ้าน Weathercock นั้นมีความหมายว่าบ้านกังหัน
ที่หน้าบ้าน Weathercock มีรูปปั้นทองแดงอยู่ 3 ที่ หามุมถ่ายรูปได้ตามใจชอบ บรรยากาศดูคล้ายกับยุโรป
การชมบ้าน Weathercock House ด้านนอกไม่มีค่าใช้จ่าย ถ้าต้องการชมในบ้านมีค่าเข้า 500 เยน และมีตั๋วพิเศษชม 2 บ้าน Weathercock House + Moegi House ในราคา 560 เยน ตัดสินใจได้ไม่ยาก ชม 2 บ้านคุ้มกว่า
ที่จำหน่ายตั๋วจะอยู่หน้าบ้าน ซื้อตั๋วแล้วเข้าไปชมในบ้านกัน เข้าไปในบ้านไม่ต้องถอดรองเท้า
ภายในบ้านใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้เป็นส่วนมาก ดูเป็นของเก่า พื้นในบ้านปูพรม พรมเริ่มจะดำแล้ว คาดว่าคงต้องรีโนเวทอยู่ตลอดเวลา
ห้องรับแขกตกแต่งแบบตะวันตก มีลวดลายตั้งแต่พรมยันเพดาน มีส่วนโค้ง ตามช่องประตู หน้าต่าง
มีเตาผิงไฟในห้องใหญ่ๆ ทุกห้อง
ห้องรับประทานอาหาร เฟอร์นิเจอร์ใหม่ค่อนข้างเยอะ
ห้องนั่งเล่น
เมื่อยืนอยู่ที่ชั้นสองของบ้านจะมองเห็นเมืองโกเบ ที่อยู่ด้านล่าง
ใช้เวลาชมบ้านประมาณ 20 นาที
เดินถัดไปไม่กี่เมตรจะเจอกับบ้านโมเอะงิ (Moegi House)
Moegi House เป็นบ้านสีเขียว 2 ชั้น ของตระกูล Kobayashi การเข้าชมบ้านหลังนี้ต้องเปลี่ยนรองเท้า เป็นรองเท้าเป็น slipper สำหรับใส่ในบ้าน
ภายในบ้านสวยไม่แพ้ Weathercock House เฟอร์นิเจอร์ส่วนมากเป็นของใหม่ ตกแต่งให้เข้ากับบรรยากาศเดิม
ห้องที่เปิดให้เข้าชมก็มีห้องรับแขก ห้องนอน
ระเบียงชั้นบนเป็นกระจกบานเลื่อน เปิด – ปิด ได้
ด้านหลังบ้านเป็นสวนพักผ่อน มีต้นไม้ใหญ่
ซากอิฐในรูปด้านบนเป็นปล่องควันของบ้านหลังนี้ ได้รับความเสียหายในเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ (Great Hanshin-Awaji Earthquake) ปี ค.ศ. 1995 ตัวปล่องควันหลุดออกมาจากตัวบ้าน
ก่อนจะออกจากบ้านเจอกับแมวเจ้าถิ่น ต่างฝ่ายต่างจ้องตากัน เลยมีโอกาสได้ถ่ายรูปเก็บไว้
ย่าน Kitano ชมแค่นี้ก็พอแล้ว เราเดินกลับไปรอรถเมล์ที่ป้ายเดิม ป้ายหมายเลข 10 ระหว่างทางเจอกับร้านอาหารหลายร้าน ทำได้กลมกลืนกับบ้านเก่าในย่านนี้ เป็นบ้านสไตล์ตะวันตก
แม้แต่ 7-eleven ก็พยายามที่จะกลมกลืนไปกับเค้าด้วย
ในวันที่อากาศไม่ร้อน ย่านนี้เหมาะกับการเดินเล่น ถ่ายรูปมาก มีมุมสวยๆ เยอะ
ที่ฝั่งตรงข้ามป้ายหมายเลข 10 เป็นบ้าน Ben’s House (ในรูปด้านบน) เจ้าของเป็นนักล่าสัตว์ป่า ชาวอังกฤษ ในบ้านจะมีซากสัตว์ป่าที่ไปล่ามา เช่นหัวกวาง หมีขั้วโลกสตาฟ หนังม้าลาย ฯลฯ
11:30 น. เราขึ้นรถ Cityloop จากป้าย 10 ไปลงป้าย 13 สถานี JR Sannomiya เพื่อที่จะต่อรถไฟไปลงที่ JR Shin-Nagata ถ่ายรูปกับหุ่นยนต์เหล็กหมายเลข 28 (Tetsujin 28-go)
ระหว่างทางที่ป้ายหมายเลข 12 สถานี Shin-kobe สถานีรถไฟ Shinkansen ของเมืองโกเบ ข้างๆ สถานีรถไฟเป็นสถานีกระเช้าชิงโกเบ (Shin-Kobe Ropeway) กระเช้านี้จะขึ้นไปยังภูเขารอคโค (Rokko) ระหว่างทางจะผ่านน้ำตกนุโนะบิคิ (Nunobiki) สวนสมุนไพร (Nunobiki Herb Garden) ที่ปลายทางของกระเช้ามีจุดชมวิวเมืองโกเบ
เสียดายว่าเรามีเวลาที่เมืองโกเบเพียง 1 วัน เลยไม่สามารถไปเที่ยวได้หมด
จาก JR Sannomiya นั่งรถไฟ JR Kobe Line Local for NISHI-AKASHI ไปลง JR Shin-Nagata เส้นทางรถไฟนี้ต้องจ่ายเงินเองไม่ได้อยู่ในเส้นทางของ 1 Day pass (Kobe Cityloop)
ออกจากสถานีให้มองหาป้าย TETSTJIN STREET ตามรูปด้านล่าง และข้ามถนนไปยัง TETSTJIN STREET ตรงไป + เลี้ยวขวาก็จะเจอกับสวน Wakamatsu ที่ตั้งของหุ่นยนต์เหล็กหมายเลข 28 (Tetsujin 28-go)
หุ่นยนต์เหล็กหมายเลข 28 หรือ Iron Man No. 28 เป็นการ์ตูนญี่ปุ่นที่ทำขึ้นในปี ค.ศ. 1956 โดยนักเขียนการ์ตูนชาวโกเบ ชื่อว่า Mitsuteru Yokoyama การ์ตูนเรื่องนี้ดังมากในยุคนั้น มีการนำไปฉายเป็น Animation ทั้งในญี่ปุ่น และ อเมริกา เรื่องราวของการ์ตูนเรื่องนี้เป็นเรื่องของหุ่นยนต์ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง
หลังจากที่ Mitsuteru Yokoyama ได้เสียชีวิตลงในปี ค.ศ. 2004 ก็ได้มีการสร้างหุ่นยนต์เหล็กหมายเลข 28 (Tetsujin 28-go) เพื่อเป็นเกียรติแก่ Mitsuteru Yokoyama โดยได้เปิดตัวหุ่นยนต์ในปี 2009 ตัวหุ่นยนต์ความสูงถึง 18 เมตร ใช้งบประมาณในการสร้าง 135 ล้านเยน
ตั้งแต่พระอาทิตย์ตกดิน ถึงเวลา 21.00 น. จะมีการเปิดไฟ (Light up) ที่ตัวหุ่นยนต์
มาเห็น Tetsujin 28-go ตัวจริงแล้วก็ขอถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก
ชม Tetsujin 28-go เสร็จแล้วอย่าเพิ่งกลับ ให้หันหน้ามาทางเดียวกับหุ่นยนต์ แล้วเดินตรงไปไม่กี่ 10 เมตร จะเจอกับย่านชอปปิ้ง ที่น่าสนใจ เป็นร้านขายผลไม้ เช็คราคามาหลายที่แล้ว ร้านนี้ไม่แพงนะ ที่แนะนำมีอยู่ 2 อย่าง ได้แก่ส้ม และ สตอเบอร์รี่
ส้มญี่ปุ่นเปลือกหนา รสหวาน น้ำเยอะ ส่วนสตอเบอร์รี่ มีสีแดงสดทั้งลูก รสหวาน
ร้านผลไม้ในเมืองโกเบ
สตอเบอร์รี่หมี kumamon แพคละ 580 เยน
ร้านดอกไม้
ร้านอาหารทะเลสด ปลา ปู หอย ขายไม่แพงนะ แต่ปัญหาคือ ไม่มีครัวทำอาหาร
เที่ยงกว่าๆ แล้ว ท้องก็เริ่มหิว มาโกเบทั้งที ก็ต้องหาเนื้อโกเบทาน เราหาข้อมูลมาว่ามีร้าน Steak Land ที่ราคาไม่แพงมาก ชุดละพันกว่าเยน และมีสาขาอยู่ 3 สาขารอบสถานี JR Sanomiya เลยนั่งรถไฟกลับไปที่สถานี JR Sanomiya เดินออกทาง West Exit ร้านอยู่ติดถนนหาไม่ยาก
สาขาทั้ง 3 ของร้าน Steakland Kobe คลิ๊กดูแผนที่
สาขาแรกที่เจอ คิวประมาณ 20 คิวได้ ขอบายดีกว่า
Steak Land สาขา 2-3 ก็เจอคิวยาวอีก ถ้ารอคิวคงจะยาว ยอมแพ้ดีกว่าหาอาหารง่ายๆ ทาน จะได้ลุยเที่ยวโกเบต่อ
ไหนๆ ก็มาถึงโกเบแล้ว จะไม่เล่าถึงเนื้อโกเบก็ยังไงอยู่
เนื้อโกเบ เป็นเนื้อที่ได้จากวัวสายพันธุ์ญี่ปุ่นทาจิมา (Tajima) เป็นวัวขนสีดำ ที่เลี้ยงในจังหวัดเฮียวโกะ (Hyogo) ความอร่อยของเนื้อโกเบนั้นมาจากเส้นใยของเนื้อวัวที่ละเอียด และมีไขมันแทรกซึมระหว่างเนื้ออย่างสม่ำเสมอ มาตราฐานการวัดคุณภาพเนื้อ จะมาจากอัตราการให้เนื้อ และคุณภาพเนื้อ เนื้อที่คุณภาพดีที่สุดจะเป็นระดับ A5 มีราคาแพงที่สุด
เคล็ดลับที่ทำให้เนื้อโกเบมีเนื้อนุ่ม และ ไขมันแทรกซึมที่เนื้อมาจากการเลี้ยงแบบพิเศษ เช่น มีการนวดวัวให้เกิดการผ่อนคลาย มีเบียร์ให้วัวทาน เลี้ยงในโรงเรือนที่อากาศดี อุณหภูมิสบาย เปิดเพลงให้ฟัง ให้กินอาหารคุณภาพดี ทั้งหมดนี้จึงได้เป็นเนื้อโกเบที่อร่อย ขึ้นชื่อระดับโลก
สรุปว่ามื้อกลางวันเราฝากท้องไว้กับร้านอาหารจานด่วนข้างสถานี JR Sannomiya กินง่ายๆ ทานไวไว จะได้มีเวลาเที่ยวต่อ
โปรแกรมเที่ยวช่วงบ่ายจะเป็น ย่านท่าเรือโกเบ หอคอยโกเบ ชิงช้าสวรรค์ อนุสรณ์สถานเเผ่นดินไหว (Meriken Park) และ Kobe Chinatown
การเดินทางจะนั่ง Kobe Cityloop ที่ป้ายหมายเลข 13 (สถานี Sannomiya) ไปลงที่ป้ายหมายเลข 1 ที่อยู่ตรงอ่าวโกเบ
ที่จอดรถจะอยู่ตรงกับหอคอยโกเบเลย
หอคอยโกเบ (Kobe Port tower) เป็นสัญลักษณ์ของเมืองโกเบ หอคอยมีความสูง 108 เมตร ตัวโครงสร้างของหอคอยมีลักษณ์เป็นท่อมัดเป็นแนวตั้ง รูปร่างคล้ายกับกลองญี่ปุ่น เคยได้รับรางวัล Architectural Institute of Japan ในปี ค.ศ. 1963
ด้านบนหอคอยเป็นจุดชมวิว 360 องศา สามารถมองไปได้ไกลถึงภูเขารอคโคะ (Rokko), เกาะอะวาจิ (Awaji) และ อ่าวโอซาก้า
ค่าเข้าชมหอคอย ราคา 700 เยน มีบัตรโดยสารแบบ 1 Day pass ลดไปอีก 100 เยน
จากหอคอยโกเบเดินมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้จะเป็นย่านท่าเรือโกเบ จุดที่คนนิยมมาถ่ายรูป จะเรียกว่าเป็นมุมมหาชนของโกเบเลยก็ว่าได้ ช่วงก่อนพระอาทิตย์ตกดินจะเป็นช่วงที่แสงสวยที่สุด
ฝั่งตรงข้ามจะเป็นชิงช้าสวรรค์ (Mosaic Ferris wheel) และ ห้าง Mosaic ย่านชอปปิ้งของเมืองโกเบ
จากหอคอยโกเบ เดินข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามจะเจอกับเมริเคงปาร์ค (Meriken Park) ในพื้นที่นี้ประกอบด้วยพิพิธภัณฑ์ทางทะเล (Kobe Maritime Museum), อนุสรณ์สถานเเผ่นดินไหว (Great Hanshin Earthquake Memorial) และ พิพิธภัณฑ์คาวาซากิ (Kawasaki Good Times World)
เรือลำนี้มีชื่อว่า Yamato 1 เป็นเรือที่ใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าในการเคลื่อนที่
อาคารในรูปด้านบนเป็น พิพิธภัณฑ์ทางทะเล (Kobe Maritime Museum) ทำโครงหลังคาให้ดูคล้ายกับเรือใบ จัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับการเดินเรือ และ ท่าเรือ ความเป็นมาของท่าเรือโกเบแห่งนี้ ซึ่งเป็นท่าเรือที่สำคัญในอดีตที่ทำการติดต่อค้าขายกับต่างชาติ
ค่าเข้าชม Kobe Maritime Museum Kawasaki world ราคา 600 เยน มีบัตรโดยสารแบบ 1 Day pass ลดไปอีก 100 เยน
จาก Kobe Maritime Museum เดินไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มุ่งหน้าไปหาสะพานยกระดับในรูปด้านบน จะเจอกับอนุสรณ์สถานเเผ่นดินไหว (Great Hanshin Earthquake Memorial) มีซาก และร่องรอยความเสียหายที่เกิดจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 1995 ผู้คนเสียชีวิตกว่า 5,000 คน
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ชอบเก็บเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ไว้เสมอ เช่นเมืองฮิโรชิมา ที่โดนระเบิดปรมาณู ก็ยังมีซากความเสียหายให้ได้ชม ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา การเรียนรู้จากประวัติศาสตร์จะทำให้เราไม่ทำผิดพลาดเหมือนอย่างที่ผ่านมา
ที่จัดแสดงซากความเสียหาย เป็นเพียงพื้นที่เล็กๆ ริมน้ำ เดินวนดูได้โดยรอบ อาจจะดูไม่ค่อยรุนแรงเท่าไหร่ ต้องไปดูรูปที่จัดแสดงด้านหลัง ตึกแถวทั้งแนวถล่มพังยับ, ถนนยกระดับล้มทั้งแนวฐานตอม่อหลุดจากพื้น
พื้นที่จัดแสดงภาพเหตุการณ์แผ่นดินไหว
หนึ่งในรูปภาพความเสียหายที่ท่าเรือโกเบ
เราใช้เวลาเดินเล่นและถ่ายรูปย่านท่าเรือโกเบ ประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นก็นั่งรถจากป้ายหมายเลข 1 มายังป้ายหมายเลข 4 เป็นย่าน Chinatown ในญี่ปุ่นจะมี Chinatown อยู่ด้วยกันสามเมือง ได้แก่ Nagasaki, Yokohama และ Kobe
Kobe Chinatown มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า Nankinmachi เป็นย่านคนจีน ย่านเล็กๆ ใจกลางเมืองโกเบ คนจีนเหล่านี้เป็นคนจีนที่เข้ามาค้าขายในสมัยที่ท่าเรือโกเบเปิดทำการค้าในปี ค.ศ. 1868
ไชน่าทาวน์ที่นี่มีขนาดเล็กมากๆ ขนาดที่ว่าใช้เวลาเดิน 15 นาทีก็เดินทั่วทั้งย่านแล้ว เล็กกว่าย่านเยาวราชบ้านเราเยอะ มีถนน (คนเดิน) หลักในนี้อยู่ด้วยกัน 2 ถนน ได้แก่ Nankin nanro street และ Nankin sairo street
ของที่ขายส่วนมากจะเป็นอาหารจีน เช่น ซาลาเปา ติ่มซำ เป็ดย่าง และ ยังมีวัตถุดิบประกอบอาหาร เช่น ซอสชนิดต่างๆ ช่วงเวลาที่เหมาะกับการมา Chinatown จะเป็นช่วงเย็น เพราะดูจะคึกคักที่สุด ส่วนช่วงเช้า 7-8 โมง ร้านค้าต่างๆ จะยังไม่เปิด
ในช่วงเย็นหลังเลิกเรียน จะมีเด็กนักเรียนมาเดินเล่นเยอะ มีโคมไฟประดับทั่วในย่านนี้
เนื้อโกเบก็มีขายในย่านนี้ อยู่ตรงกลางแยก ระหว่างถนน Nankin nanro street และถนน Nankin sairo street
บริเวณศาลานี้มีชื่อว่า Nankinmachi square
ของกินหลากหลายดีจริงๆ
เดินไปเดินมา มาโผลแถว Motomachi บริเวณนี้เตรียมจะจัดงานแสดงไฟ Kobe Luminarie งานนี้เป็นงานจัดแสดงไฟตั้งแต่ปี ค.ศ. 1995 จัดขึ้นหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว เพื่อไว้อาลัยให้กับผู้สูญเสีย และเป็นแรงบันดาลใจให้กับชาวเมืองโกเบ
งานไฟนี้เป็นงานที่ใหญ่มากๆ มีคนมาดูปีละ 3 ล้านกว่าคน จัดขึ้นในวันที่ 4-13 ธันวาคม ตั้งแต่เวลา 5 โมงเย็น เสียดายว่าทริปนี้เราอยู่ไม่ถึงวันเปิดงาน ก็ต้องอดดูไปตามระเบียบ แนะนำให้ search คำว่า Kobe Luminarie จะเห็นไฟในงาน สว่างไสวสวยงาม
เราออกจาก Kobe Chinatown เกือบ 4 โมงเย็น วันนี้เดินกันขาลากจริงๆ จำใจต้องตัดย่านช๊อปปิ้ง MOTOMACHI ออกจากโปรแกรม
จากนั้นเราก็นั่ง Kobe Cityloop ไปลงป้ายหมายเลข 7 และนั่งรถไฟกลับโอซาก้า
สรุปโดยรวม
เมืองโกเบมีอะไรให้เที่ยวเยอะจริงๆ จากที่ตอนแรกรู้จักแค่เพียงเนื้อโกเบ พอได้มาจริงๆ เมืองโกเบมีทั้งย่านฝรั่ง Kitano บ้านเมืองสวยเหมือนอยู่ยุโรป มีย่านท่าเรือโกเบ บรรยากาศดี วิวสวย มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนานตั้งแต่สมัยเปิดท่าเรือโกเบ เหตุการณ์แผ่นดินไหว มีย่านคนจีนไชน่าทาวน์ ซึ่งมีอยู่ไม่กี่ที่ในญี่ปุ่น และ นอกจากนี้ยังมีที่เที่ยวธรรมชาติภูเขารอคโค (Rokko) สามารถขึ้นกระเช้าไปชมด้านบนได้
ตอนแรกคิดว่าเที่ยวโกเบ 1 วันก็คงพอ แต่พอได้มาจริงก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากที่ไม่ได้ไปเพราะเวลาไม่พอ แนะนำว่าถ้ามีโอกาสมาเทียวย่านคันไซ อย่าลืมที่จะแวะมาเที่ยวโกเบ เมืองนี้มีอะไรดีๆ สวยงามไม่แพ้เมืองอื่นในภูมิภาคนี้
สรุปค่าใช้จ่ายเที่ยวโกเบ ใน 1 วัน
– ค่ารถไฟไปกลับ JR Osaka – JR Sannomiya = 410 x 2 = 820 เยน
– 1 Day pass (Kobe Cityloop) 660 เยน
– ค่ารถไฟในโกเบ 360 เยน
– ค่าเข้าชม Weathercock House + Moegi House = 560 เยน
– ค่าอาหาร 2 มื้อ 1,200 เยน
: : รวมค่าใช้จ่ายคนละ 3,600 เยน
Post Views 85093