เที่ยวฮ่องกง ด้วย Air asia ไปเองได้ไม่ง้อทัวร์
ต่อจากตอนที่แล้ว –> เที่ยวมาเก๊าไปเองได้ไม่ง้อทัวร์
เรือออกตรงเวลา 12.30 น. สิ่งที่ดูแตกต่างกับขามาคือเรือวิ่งเร็วกว่า พอเรือวิ่งมาได้ซักพักก็มีพนักงานมาแจกใบ ตม. ฮ่องกงให้เราเขียน ใบ ตม. ฮ่องกง กรอกง่ายมี carbon copy ไปยังแผ่น Departure ด้วย ถ้ากลัวว่าจะกรอกไม่ถูกก็ดูคำแปลได้ที่ตัวอย่างใบ ตม. ฮ่องกงได้ที่รูปด้านล่างเลยครับ
ใบ ตม. ฮ่องกง
กรอกแผ่นบน (Arrival) เสร็จ เปิดแผ่นล่างมากรอกเที่ยวบิน / เรือ ขาออก และเซ็นลายเซ็นด้วย การกรอกใบ ตม. ควรกรอกให้ชัดเจน ครบทุกช่องนะครับ จะได้ไม่มีปัญหา
พอเรือเข้าสู่น่านน้ำฮ่องกงทะเลมีคลื่นเล็กน้อยครับ แต่เรือก็ไม่ได้ลดความเร็วลงทำให้เรือขึ้นๆ ลงๆ ตามคลื่นอยู่หลายครั้ง ทำเอาเราเสียวไส้ตามไปด้วย
ถึงฮ่องกงแล้ว เรือจอดที่ท่าเรือ Hong Kong Macau Ferry Terminal ท่าเรือนี้อยู่ฝั่งเกาะฮ่องกง พอลงจากเรือเสร็จ เราก็เดินเข้าอาคารผู้โดยสาร ผ่านด่าน ตม. เหมือนที่สนามบิน ตม. ที่ด่านนี้ดูสบายๆ ไม่เหมือนที่สนามบิน
ผมเข้าแถว ตม. อยู่ 2-3 คิว เห็นเค้าติดป้ายไว้ที่ ตม. ว่าให้ยื่นตั๋วเรือให้ด้วย เค้าจะได้รู้ว่าเราเดินทางมาทางไหน แต่ผมมาเห็นป้ายนี้ตอนถึงคิวแล้วพอดี ก็เลยปล่อยตามเลย ไม่ได้แนบไปให้ ไว้ถ้าเค้าอยากได้จะหยิบให้อีกที และแล้วก็ผ่านมาได้ ตม. ไม่ได้ถามอะไรซักคำ
วันที่ 1 [ฮ่องกง]
ออกจากท่าเรือ Hong Kong Macau Ferry Terminal ก็จะเจอกับห้าง Shun Tak Centre
ถ้ายังไม่มีแผ่นที่ฮ่องกงก็หยิบได้ฟรีตรงนี้เลยครับ แผนที่ Version นี้ไม่ละเอียดเท่ากับ Version ที่สนามบินฮ่องกง
ตรงนี้จะเป็นที่ซื้อตั๋วเรือ TurboJet ข้ามไปมาเก๊า
ผมทานมื้อกลางวันที่ห้าง Shun Tak Centre เป็นร้านอาหารญี่ปุ่น มื้อนี้หมดไปเกือบ 100 HKD ก็อร่อยดีครับ ราคาไม่แพงมาก เดี๋ยวเราจะไปเช็คอินที่โรงแรม Harbour เพื่อเก็บของก่อน แล้วค่อยออกมาเที่ยว
ที่ด้านล่างของห้าง Shun Tak Centre มีสถานีรถไฟฟ้า Sheung Wan เราต้องเดินออกจากห้างไปเข้าสถานีรถไฟฟ้า พอออกมาข้างนอกรู้สึกว่าอากาศที่ฮ่องกงไม่เย็นเท่าที่มาเก๊า ที่มาเก๊าอุณหภูมิประมาณ 18-19 องศา ส่วนฮ่องกงน่าจะซัก 22 องศา จากนั้นเราก็นั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานี Mongkok (มงก๊ก) แล้วเดินเข้าโรงแรมกันครับ
การเดินทางมาโรงแรม Harbour
แผนที่โรงแรม Harbour
1. นั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานี Mongkok แล้วออกทางออก E1
2. เดินตรงมาเรื่อยๆ จะเจอกับห้าง Langham Place ให้เลี้ยวซ้าย (ยังไม่ต้องข้ามถนนไปฝั่งห้าง)
3. เดินตรงมาจนเจอกับอีกแยก
4. แยกนี้สังเกตง่ายๆ มีร้าน KFC และร้าน I.O.U อยู่ที่หัวมุม ให้ข้ามถนนไปร้าน I.O.U แล้วจากร้าน I.O.U ก็ข้ามไปฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง
5. แยกนี้จะมองเห็นป้าย POP HOTEL แล้ว HARBOUR HOTEL (ทางขวาบนของรูปบน) ให้เดินตรงข้ามถนนไป
6. เดินตรงมาจนเจออีกแยกให้เลี้ยวซ้าย
7. ตรงไปอีกไม่กี่เมตร ก็จะถึงแล้ว ย้านนี้คล้ายๆ คลองถมบ้านเรา
8. ถึงแล้ว Harbour Hotel
เมื่อถึงโรงแรมแล้วเราก็ยื่น Hotel Voucher + passport ให้พนักงาน มีมัดจำ Key card 200 HKD ครับ ไม่แพงเหมือน Hotel MK ที่ผมเคยมาพักในครั้งที่แล้วที่มัดจำตั้ง 500 HKD พนักงานที่นี่บริการดี แล้วก็สุภาพ ผมได้ห้องพักที่ชั้น 2 ต้องขึ้นลิฟต์ไปครับ ไม่มีบันไดขึ้นไป
Link. เช็คราคา จองที่พัก Harbour Hotel
ราคาห้องพัก ห้อง Double 6169.80 บาท / 2 คืน ตกคืนละ 3,084 บาท ผมจองกับ Agoda ไว้ตั้งแต่กลางเดือนมกราคา 55 ล่วงหน้าประมาณ 2 เดือนครึ่ง จากที่หาข้อมูลโรงแรมย่านมงก๊ก จิมซาจุ่ย มาค่อนข้างมาก Harbour Hotel เป็นโรงแรมที่ราคาไม่แพงครับ เทียบกับทำเล และสิ่งอำนวยสะดวกในโรงแรม แถมยังมีอาหารเช้าให้ทานอีก ปกติแล้วโรงแรมที่ฮ่องกงจะไม่มีอาหารเช้าให้
ในการเข้าห้องจะต้องสอด Key card เข้าไป กลอนจะเปิดออก
ภายในห้อง ใครที่เพิ่งเคยมาฮ่องกงครั้งแรก จะคิดว่าแคบแต่จริงๆ แล้วห้องขนาดนี้ถือว่ากำลังดีครับ พอมีพื้นที่ให้วางของ วางกระเป๋า เทียบกับ Hotel MK แล้วที่นี่กว้างกว่าพอสมควรเลย
สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องก็มี LCD TV, น้ำดื่มวันละ 2 ขวด, กาต้มน้ำ + กาแฟ, ไดร์เป่าผม, ผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ 2 ผืน + ผืนเล็ก 2 ผืน, ฟรี wifi
ภายในห้องห้ามสูบบุหรี่ครับ ตรงปลั๊กไฟใกล้ๆ กาต้มน้ำเป็นปลั๊กแบบ Universal สามารถนำเครื่องใช้ไฟฟ้าจากไทยเสียบใช้ได้เลย ส่วนปลั๊กอีกรูนึงเป็นรูปลั๊กไฟฮ่องกง
ผ้าม่านตรงข้างเตียงถ้าเปิดออกก็จะเป็นถนน ตอนกลางวันจะมีเสียงดังบ้าง เนื่องจากแถวนี้เป็นร้านค้าคล้ายๆ คลองถมบ้านเรา บางทีก็มีของมาลงบ้าง แต่กลางคืนเงียบสนิท นอนสบาย
ประตูห้องน้ำจะเป็นประตูกระจกฝ้าแบบเลื่อนข้าง ล๊อคประตูไม่ได้ ถ้าไปกับเพื่อนอาจจะไม่ค่อยสะดวก ในห้องน้ำจะมีประตูห้องอาบน้ำกันอีกทีนึง ทำให้ห้องอาบน้ำแคบ มีพื้นที่เพียงแค่ยืนได้
สิ่งของในห้องน้ำมีแปลงสีฟัน ยาสีฟัน หวี โฟมอาบน้ำ, ครีมนวดผม, ยาสระผม ถึงห้องน้ำจะมีขนาดเล็ก แต่ก็สะอาดดีครับ
ล้างหน้าล้างตา พักผ่อนจนหายเหนื่อย เดี๋ยวจะไปชอปปิ้งเบาๆ กันที่ Lady market
จาก Harbour hotel มา Lady market ก็ง่ายมากครับไปเริ่มต้นที่สถานีรถไฟฟ้ามงก๊ก แล้วข้ามถนน Nathan ไปก็เจอเลย
เจอคนเยอะๆ ร้านค้าทั้งสองฝั่งถนนแบบนี้ ไม่ผิดแน่
ที่ Lady market จะขายของ Brand name กลางๆ เช่นเสื้อผ้า Bossini, Giordano พวก Brand หรูนี่ไม่เห็นนะครับ
Shop ของ One2free ถ้าจะซื้อ Sim card แบบเติมเงิน โทรกลับไทย หรือเล่นเนตซิมของ One2free คุ้มสุดแล้วครับ ราคาซิมมี 2 ราคา 100 HKD กับ 88 HKD
ร้าน Sasa และร้าน BONJOUR ขายเครื่องสำอาง ครีม น้ำหอม ของผู้หญิง สินค้ามีให้เลือกเยอะมาก น้ำหอมราคาถูกกว่าเมืองไทยครับ
ร้าน Giordano เสื้อผ้า Brand ฮ่องกง
ร้าน Bossini คนมาซื้อเสื้อผ้าเยอะมาก เสื้อ Bossini ที่ฮ่องกงขายถูกกว่าประเทศไทยพอสมควร เสื้อกันหนาวสวยๆ ก็ขายไม่แพง ประมาณตัวละ 800 -1,000 กว่าบาท ผมเองก็ได้เสื้อติดไม้ติดมือมาเหมือนกัน
ช๊อปปิ้งเสร็จเราจะนั่งรถไฟฟ้าไปที่ Tsim Sha Tsui ไปเดินเล่นที่ Avenue of star
ก่อนถึงรถไฟฟ้าเห็นคนต่อแถวกันยาวมาก ด้วยความสงสัยเลยเดินไปดู เลยได้รู้ว่าเค้าต่อแถวขึ้นลิฟต์กันครับ ที่อยู่อาศัยในฮ่องกงจะเป็นตึกสูงๆ ในช่วงเวลาเช้ากับเย็น จะมีคนขึ้นลงตึกเยอะ จะกลับเข้าห้องก็ต้องรอขึ้นลิฟต์แถวยาวแบบนี้แหล่ะครับ แถวจริงจะยาวกว่าที่เห็นพอสมควรแต่ถ่ายรูปมาได้เท่านี้
ที่พัก Guest house ราคา 1,xxx – 2,xxx ในย่านมงก๊ก จิมซาจุ่ย ที่อยู่ในตึกสูงเช่นตึก Sincere, Mirador Mansion ก็จะมีปัญหาเรื่องคิวขึ้นลิฟต์เหมือนกันครับ
สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินมงก๊ก (MTR Mong Kok)
ช่วงตอนเย็นรถไฟฟ้าคนเยอะมาก แน่นเป็นปลากระป๋อง เราลงที่สถานี Tsim Sha Tsui ทางออก J2 ทางออกนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งชอปปิ้งหลายแห่งดังนี้
– Avenue of Stars
– Hong Kong Museum of Art
– Hong Kong Space Museum
– ห้าง SOGO
– หอนาฬิกา
เราจะไปถ่ายรูปที่หอนาฬิกาก่อน แล้วค่อยเดินย้อนกลับมาที่ Avenue of Stars ระหว่างทางไปหอนาฬิกาจะเจอกับโรงแรมหรู The Peninsula ชั้นล่างของโรงแรมมีร้านกระเป๋าหลุยส์ วิตตอง (Louis Vuitton)
Hong Kong Space Museum เป็นอาคารรูปโดมครึ่งวงกลม
เดินไปประมาณ 15 นาทีก็จะเจอกับหอนาฬิกาตั้งอยู่ริมทะเล มีชั้นลอยให้ขึ้นไปดูวิวฝั่งฮ่องกง ตำแหน่งนี้เป็นจุดชมไฟ Symphony Of Light ที่เห็นเป็นมุมตรง แถวๆ นี้จะเป็นท่าเรือ Ferry สมัยก่อนตรงนี้เป็นสถานีรถไฟฟ้าเกาลูน
รูปล่าง ท่าเรือ Star ferry ข้ามจากฝั่งเกาลูน ไปยังฝั่งฮ่องกง ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะสามารถเดินทางระหว่าง 2 เกาะด้วยรถไฟฟ้า และทางรถยนต์แต่เรือ Ferry ก็ยังมีคนใช้บริการอยู่
เรือ Star ferry (เรือสีเขียวในรูปล่าง) มีบริการพาทัวร์วนรอบอ่าววิคตอเรียทั้งกลางวัน กลางคืน ถ้าไปตอนกลางวันราคาเริ่มต้นที่ 70 HKD ตอนกลางคืนราคาเริ่มต้นที่ 140 HKD
วันนี้หมอกลงจัดมากครับมองเเห็นฝั่งฮ่องกงได้แค่ลางๆ
เราเดินย้อนกลับมาทาง Avenue of Star หารอยประทับมือดาราฮ่องกง
ห้าง SOGO เป็นห้างสัญชาติญี่ปุ่นขนาดเล็ก ของที่ขายจะเป็นของ Brandname หรูซะเป็นส่วนใหญ่ ชั้นล่างของห้างมีซุปเปอร์มาเก็ตและศูนย์อาหารขนาดเล็กอยู่
Hong Kong museum of Art เป็นพิพิธภัณณ์ศิลปะ มีการจัดแสดงงานศิลปะ กิจกรรมอยู่ตลอดเวลา
ถึงแล้วครับ Avenue of Star จุดเริ่มต้นจะอยู่ที่รูปปั้นผู้หญิงที่พันรอบตัวด้วยฟิล์ม มือข้างหนึ่งถึงโคมไฟ
Avenue of Star เป็นถนนแห่งดารา ซุปเปอร์สตาร์ฮ่องกง โดยรูปแบบจะจำลองมาจาก Hollywood Street, Los Angeles ของประเทศอเมริกา ถนนแห่งนี้จะอยู่ริมทะเลเรียบอ่าววิคตอเรีย ที่พื้นถนนจะมีรอยประทับมือ พร้อมลายเซ็นของเหล่าดาราดังฮ่องกงมากมาย
ทางเดินที่ Avenue of Star จะเป็นทางเดินเรียบอ่าว มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปอยู่เยอะ
ร้านขายปลาหมึกแผ่นย่าง ถุงละ 30 HKD ผมลองซื้อมาชิมแล้วหอม อร่อยดีครับ ให้เยอะเหมือนกัน
รูปปั้นผู้กำกับ
มองไปที่ทะเลเจอกับ เรือสำเภาโบราณ DUK LING อายุกว่า 25 ปีแล่นอยู่? แต่ก่อนนั้นให้นักท่องเที่ยวล่องเรือลำนี้ได้ฟรี เรือแล่นในวันพฤหัสบดี และ วันเสาร์ แต่ปัจจุบันมีค่าใช้จ่าย 100 HKD / คน เรือใช้เวลาแล่นประมาณ 1 ชั่วโมง
เดินไปเดินมาก็เจอกับรอยประทับมือดาราฮ่องกงที่พอจะรู้จักอยู่ 1 คน ชื่อ Jet Li ครับ
รูปล่างเป็นรูปปั้นบรู๊ซ ลี
ไม่รู้ว่าช่วงที่ไปมีกิจกรรมอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า มีดนตรีมาเล่นให้ฟังสดๆ ด้วยครับ
รูปปั้นหมูยักษ์
ตอนแรกเราวางแผนไว้ว่าจะอยู่รอดูไฟ Symphony Of Light ตอน 20.00 น. แต่หลังจากที่พระอาทิตย์ตกดินไปแล้วรู้สึกว่าเราก็ยังไม่เห็นไฟที่ตึกฝั่งฮ่องกงได้อย่างชัดเจน สามารถมองเห็นได้อย่างลางๆ เท่านั้น เนื่องจากหมอกลงจัดมาก เลยคิดว่าวันนี้กลับไปผักผ่อนดีกว่า หลังจากที่เดินมาแล้วทั้งวันตั้งแต่มาเก๊าถึงฮ่องกง
ก่อนถึง Horbour Hotel ที่พักของเรา แวะทานอาหารใกล้ๆกับโรงแรม เห็นร้าน Traditional Chinese Noodle ดูน่าทาน แล้วก็มีเมนูรูปภาพ และภาษาอังกฤษ น่าจะสั่งอาหารได้ไม่ยาก บรรยากาศในร้าน โต๊ะเยอะมาก แต่ทางเดินและที่วางของแทบไม่มี พอดีว่าของเราเยอะครับกระเป๋ากล้อง 2 ใบ + ขาตั้งกล้อง 1 อัน
ในร้านนี้ไม่ได้ถ่ายรูปมานะครับ เนื่องจากสถานที่ไม่เอื้ออำนวย ต้องรีบกินรีบกลับ รสชาติอาหารก็พอใช้ได้ครับ ราคาก็ 40-50 HKD / ชาม มีเรื่องแปลกๆ ที่ร้านนี้มาเล่าให้ฟังด้วยครับ ผมสั่งชามะนาวไป 2 แก้ว เค้าก็ยกแก้วน้ำชา และลูกเลมอน (มะนาวฝรั่ง) ที่ถูกฝานเป็นซี่ๆ ประมาณครึ่งลูกมาให้อยู่ในแก้ว เราต้องเอาช้อนไปแยงๆ ให้มะนาวออกรสมาเอง ไม่ได้ทำมาให้พร้อมกินเหมือนบ้านเรา วันต่อมาลองสั่งชามะนาวที่ร้านอื่นก็ยกมาเสิร์ฟแบบนี้เหมือนกันแสดงว่าที่ฮ่องกงเค้าทานกันแบบนี้
ทานข้าวเสร็จก็กลับโรงแรมดีกว่า ที่ฮ่องกงเค้าจะติดป้ายโฆษณากันเยอะมาก และยื่นออกไปบนถนน มองบางทีก็ดูสวย มีสีสันดี มองบางทีก็ดูไม่ค่อยเป็นระเบียบเท่าไหร่ คล้ายๆ กับที่เยาวราชบ้านเรา คืนนี้เรานอนกันเร็วครับ เนื่องจากว่าเดินเยอะ เหนื่อยมาก
วันที่ 2 [ฮ่องกง]
วันนี้เป็นวันที่ 2 แล้วที่อยู่ฮ่องกง เราตื่นกันแต่เช้า จะได้มีเวลาเที่ยวเยอะๆ สำหรับมื้อเช้า เราฝากท้องไว้กับโรงแรม เนื่องจากว่าโรงแรมมีอาหารเช้าให้ด้วย
ห้องทานอาหารเช้าของโรงแรม Harbour จะอยู่ที่ชั้น 1 (ชั้น Lobby คือชั้น G) ทางเข้าจะซับซ้อนหน่อยต้องมาทางลิฟท์ แล้วออกบันไดหนีไฟ เดินมาอีกนิดถึงจะเจอ
พอเราเข้าไปในห้องอาหารก็เจอกับแม่ครัววัยกลางคน แม่ครัวส่งเมนูอาหารเช้าให้เราเลือก ถ้าจำไม่ผิดจะมี 4 Set A, B, C, D จากที่ผมดูมา Set C ดูโอเคสุดแล้วครับ เป็น American Break fast มีไส้กรอกให้ 2 ชิ้น แฮม 1 แผ่น ไข่ต้ม 1 ฟอง กล้วยหอม 1 ลูก และขนมปังปิ้งแผ่นใหญ่ 2 แผ่น มีที่ปิ้งขนมปัง และแยมให้ทา
เครื่องดื่มก็มีชา กาแฟ (3 in 1) น้ำส้ม น้ำสัปปะรด? แม่ครัวในห้องอาหารพูดอังกฤษไม่ได้นะครับ แต่บริการดีมาก แค่หันไปมองอะไรแม่ครัวก็จะมาส่งภาษาใบ้ เอานี่ไหม, เอานั่นไหม
สำหรับ Set อาหารที่ไม่แนะนำจะเป็น Chinese noodle มีแต่เส้นครับ ดูไม่น่าทานเลย อาหารเช้าของโรงแรมเหมือนว่าจะทานไม่อิ่ม แต่พอทานหมดก็อิ่มอยู่นะครับ อาหารแบบนี้ถ้าไปทานข้างนอกก็ตกหัวละ 150 บาทได้ กิน 2 คนก็ประหยัดไป 300 บาท
หลังจากทานข้าวเสร็จเราก็พร้อมที่จะออกเดินทางกันต่อ เช้านี้มีโปรแกรมขึ้นนองปิง ชมพระใหญ่ ถ่ายรูปวัดโปลิน
การเดินทางไปนองปิง
1. นั่งรถไฟฟ้าจากสถานี Mong Kok ไปเปลี่ยนสายที่สถานี Lai King
2. จากสถานี Lai King นั่งต่อไปที่สถานี Tung Chung
3. ขึ้นไปยังนองปิงด้วยวิธีต่อไปนี้
3.1 นั่งกระเช้า
3.2 นั่งรถเมล์สาย 23
บรรยากาศบนรถไฟฟ้าตอนเช้า คนยังไม่เยอะมาก ช่วงนี้สาวๆ ฮ่องกงนิยมใส่รองเท้าบูทกันครับ
รถไฟฟ้าที่ฮ่องกงบางขบวนมีไฟบอกว่าตอนนี้อยู่สถานีไหน กำลังมุ่งหน้าไปทางไหน มีประโยชน์กับนักท่องเที่ยวมากครับ ไปไหนมาไหนไม่ต้องกลัวหลง
รถไฟฟ้าจะสุดสายที่สถานี Tung Chung ไปนองปิงให้ออกทางออก B ครับ
ปกติแล้วการขึ้นไปเที่ยวนองปิงจะนิยมขึ้นกระเช้าข้ามภูเขาไป แล้วไปลงที่หมู่บ้านนองปิงเลย แต่บังเอิญว่าช่วงที่เราไปกระเช้าปิดซ่อมครับ เราเลยต้องนั่งรถเมล์สาย 23 ขึ้นยังไปนองปิงแทน ก็ถือว่าลองเปลี่ยนบรรยากาศดูครับ ทริปฮ่องกงทริปที่แล้วได้ลองนั่งกระเช้ามาแล้ว ทริปนี้ลองนั่งรถเมล์บ้าง
ป้ายรถเมล์สาย 23 จะจอดอยู่ใกล้กับทางขึ้นกระเช้า หาไม่ยากครับ ค่ารถไป-กลับอยู่ที่ 55 HKD จะซื้อตั๋วด้วยเงินสดหรือจะใช้บัตร Octopus แตะก่อนขึ้นรถก็ได้ครับ
รูปบนเป็นบัตรโดยสารแบบไป-กลับ ซื้อตั๋วแล้วเก็บไว้ให้ดีนะครับ ต้องใช้ยื่นให้เค้าดูตอนขากลับด้วย
ยืนรอคิวขึ้นรถเมล์ไม่นาน ก็ได้ขึ้นรถแล้ว รู้สึกว่าคนขึ้นนองปิงน้อยกว่าตอนที่กระเช้ายังใช้งานได้ รถเมล์จะวางที่นั่งแบบ AB CDE ใน 1 แถวนั่ง 5 คนเบาะจะเล็กนิดนึง ทางเดินแคบๆ
รถเมล์วิ่งขึ้นภูเขาไปเรื่อยๆ ผ่านโค้งหลายโค้ง มองเห็นบ้านเรือน และทะเล วิวสองข้างทางก็สวยไม่แพ้วิวจากบนกระเช้า คนที่เมารถง่ายแนะนำให้ทานยาแก้เมารถไว้ครับ โค้งเยอะพอสมควร
ประมาณ 45 นาทีรถก็มาจอดที่ท่ารถด้านบนนองปิงแล้ว พอลงจากรถก็มีเจ้าหน้าที่มาแจกแผนที่และสถานที่ท่องเที่ยวบนนองปิง ผมก็ไปขอมาใบหนึ่งครับ เค้าถามผมว่าคนไทยใช่ไหม แล้วก็ยื่น Version ภาษาไทยให้ แสดงว่าคนไทยไปเยอะพอสมควรถึงกับมี Version ภาษาไทย
จากท่ารถถ้าเดินออกไปทางซ้ายก็จะเป็นหมู่บ้านนองปิง และสถานีกระเช้า แต่ถ้าเดินไปทางขวาก็จะเจอพระพุทธรูปใหญ่และวัดโปลิน ผมจะเดินไปที่หมู่บ้านนองปิงก่อนครับ แล้วค่อยวกมาที่พระพุทธรูปใหญ่
รูปล่างเป็นรถกระเช้านานาชาติ เท่าที่เห็นก็มีของจีน, สวิสเซอร์แลนด์, สเปน
หมู่บ้านนองปิง จะเป็นร้านค้า ร้านขายของฝาก ร้านอาหาร ไม่ได้เป็นหมู่บ้านที่คนอาศัยอยู่
Monkey’s tale theatre โรงละครนิทานชาดก ดูแล้วน่าจะเหมาะกับเด็กเล็กๆ มากกว่า ค่าเข้าชมคนละ 36 HKD
ต้นโพธิ์สารพัดนึก (Bodhi Wishing Shrine)
Walking with Buddha เป็นห้องแสดงมัลดิมีเดีย แสง สี เสียง ประวัติความเป็นมาของพระพุทธเจ้า ตั้งแต่ยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ จนถึงตรัสรู้ ค่าเข้าชมคนละ 36 HKD
สถานีกระเช้านองปิงร้าง เนื่องจากว่าปิดซ่อมแซมอยู่ ปิดครั้งนี้นานถึง 2 เดือนตั้งแต่เดือน กุมภาพันธ์ – มีนาคม คาดว่าจะเปิดตามปกติก็เดือนเมษายน (วันที่ 5 เมษายน 2555 กระเช้าเปิดทำการตามปกติ)
ร้านอาหาร Linong Tea มองเห็นพระพุทธรูปใหญ่อยู่บนภูเขา
เนื่องจากว่าเป็นคนไม่ค่อยชอบชอปปิ้ง ซื้อของฝากซักเท่าไหร่ เราเลยใช้เวลาที่หมู่บ้านนองปิงไม่นาน เดี๋ยวจะขึ้นไปที่วัดโปลินแล้วขึ้นไปที่พระใหญ่
ทางเดินไปวัดโปลินและพระใหญ่
ก่อนที่จะเดินไปถึงวัดโปลินจะเจอกับกระถางธูปขนาดใหญ่ ธูปที่ฮ่องกงมีขนาดใหญ่มากลองดูอัตราส่วนเมื่อเทียบกับคนที่รูปด้านล่าง ใหญ่ยังกับเทียนพรรษาบ้านเรา เวลาจุดธูปควันจะเยอะมาก
ร้านขายธูป ของฝาก ของที่ระลึกวัดโปลิน
วัดโปลิน (Polin Monastery)
เป็นวัดจีนขนาดเล็กแห่งเดียวบนนองปิง สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1920 ต่อมาเป็นสถานะจากวัดเป็นศาสนสถาน ภายในวัดโปลินมีรูปปั้นเทพเจ้าอยู่หลายรูป มีการตกแต่งอย่างสวยงาม ปัจจุบันวัดโปลินกำลังสร้างอาคารหลังใหม่ ที่ด้านหลังเพิ่มอยู่ครับ
เทพเจ้าจีน
อาคารวัดโปลิน
ภายในอาคารมีพระพุทธรูป คนนิยมมาไหว้พระในนี้กันครับ
ออกจากวัดโปลินมานิดเดียวก็เจอกับแท่นวงกลม บริเวณจุดศูนย์กลางของแท่นนี้หันหน้าไปทางพระใหญ่ เป็นจุดที่อธิษฐานขอพรแล้วจะมีพลังมากที่สุด เหมือนเป็นจุดศูนย์รวม ในรูปล่างทัวร์พาลูกทัวร์มาต่อแถว แอบสังเกตเห็นมีคนไทยมาอธิษฐานขอพรด้วย
รอคิวอธิษฐานขอพร
การเดินขึ้นไปบนพระใหญ่ต้องเดินขึ้นบันได 268 ขั้น ทำเอาผู้สูงอายุบางคนถึงกับถอดใจในความสูง จริงๆ แล้วถ้าเดินไปเรื่อยๆ แวะพักบ้างแปปเดียวก็ถึงครับ อากาศเย็นเดินขึ้นได้สบายผมว่าน่าจะเหนื่อยน้อยกว่าพระธาตุดอยสุเทพฯ ที่เชียงใหม่เสียอีก
รูปปั้นเหล่าเทวดา – นางฟ้ากำลังถวายเครื่องบูชาแก่พระพุทธเจ้า
พระพุทธรูป (Tian Tan Buddha Statue)
ที่ฐานด้านล่างพระใหญ่เป็นห้องโถงติดแอร์มีภาพวาดพระพุทธเจ้าในเหตุการณ์สำคัญต่างๆ แต่ด้านล่างห้ามถ่ายรูปครับ ที่หน้าทางเข้าซ้าย – ขวามีต้นส้มผลเล็กๆ อยู่ผลตกมาก
มองจากด้านบนฐานพระใหญ่ลงไปด้านล่างมองเห็นวิวภูเขา ต้นไม้เขียวๆ และวัดโปลินที่อยู่ด้านล่าง
ถึงเวลาที่ต้องเดินลงแล้วครับ ขาลงไม่เหนื่อยเหมือนขาขึ้น
ขากลับเราก็ไปรอรถเมล์สาย 23 ที่ป้ายรถเมล์ ป้ายนี้สังเกตง่ายๆ มีหมายเลข 23 ติดอยู่
ขากลับนั้นรถใช้เวลาเพียง 30 นาทีก็มาถึงสถานีรถไฟฟ้า Tung Chung ที่สถานีนี้จะมีห้าง Citygate outlets ห้างนี้มีของให้ชอปปิ้งเยอะมากเช่นเสื้อผ้า Brandname หลายหลายยี่ห้อ Giordano, Esprit, Adidas, Levis ส่วนขนม ของฝากเช่นชอกโกแลต ขนม ก็มีซุปเปอร์มาร์เก็ต Taste ให้เลือกซื้อของ
ส่วนร้านอาหารในนี้ผมขอแนะ foodrepublic ศูนย์อาหารนานาชาติ มีอาหารจีน อาหารญี่ปุ่น อาหารไทย อาหารอิตาเลียน
ร้านอาหารร้านโปรดของผมใน foodrepublic ชื่อร้าน Macau Cuisine เห็นชื่อร้านเป็นมาเก๊า แต่ร้านนี้มีพ่อครัวเป็นคนไทย พนักงานเป็นคนไทย รสชาติอาหารก็คล้าย อาหารไทย มาฮ่องกงครั้งก่อนผมก็ทานที่ร้านนี้ครับ
ร้าน Macau Cuisine จะอยู่ตรงที่ผู้หญิงเสื้อส้มยืนต่อแถวอยู่ครับ จากรูปบนมองตรงไปข้างหน้าเลย
ผมสั่งไก่ผัดพริกราดข้าว อร่อยดีครับเผ็ดนิดๆ กินกับข้าวสวยร้อนๆ มีผักลวกให้กินแก้เลี่ยน แต่น้ำซุปเค้าจืดๆ
จานนี้คล้ายๆ ผัดซีอิ๊ว
ทานข้าวเสร็จมีแรงเดินต่อ ไปดูเสื้อผ้าที่ร้าน Giordano และ Esprit ราคาถูกกว่าประเทศไทยครับ ก็เลยซื้อกลับไปคนละ 2-3 ตัว เสื้อผ้าในนี้บางทีก็ถูกกว่าไทย บางทีก็พอๆ กับบ้านเราต้องดูราคาดีๆ ครับ จะได้ไม่ต้องแบกกลับไปให้ลำบาก
ชอปปิ้งเสร็จกลับที่พักกัน พักซัก 1 ชั่วโมงแล้วก็ออกมาเที่ยวต่อ มาเที่ยวฮ่องกงนี่เดินเยอะมากๆ ต้องเดินบ้างพักบ้างๆ ไม่งั้นไม่ไหว ช่วงบ่ายเรามีโปรแกรมว่าจะไปขึ้น The Peak กัน การเดินทางไปยัง The Peak ผมเดินทางด้วยรถไฟฟ้าจากสถานี Mong Kok ไปลงที่สถานี Central เกาะฮ่องกง แอบทึ่งในเทคโลยีทางวิศวกรรมที่สามารถสร้างอุโมงค์รถไฟฟ้าลอดใต้ทะเลระหว่าง 2 เกาะ ทำให้การเดินทางสะดวกมาก
พอออกมาจากสถานี Central ก็มาเจอกับฝูงชน จำนวนมาก ฝูงชนที่เห็นจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นผู้ประท้วง ผมอ่านดูในข่าวเค้าบอกว่าประท้วงคนจัดการเลือกตั้ง กลุ่มผู้ประท้วงก็จะชูป้ายเหลืองตามที่เห็นในรูปเลยครับ ตามข่าวบอกว่ากลุ่มผู้ประท้วงประมาณพันคน ที่นี่เค้าประท้วงกันไม่รุนแรง มีตำรวจคอยดูสถานการณ์อยู่รอบๆ
ส่วนกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งคือแม่บ้านฟิลิปปินส์ที่มารับจ้างคนฮ่องกงทำงานบ้าน เลี้ยงเด็ก พอวันหยุดวันอาทิตย์เค้าก็มารวมกลุ่มกัน นั่งเล่น พักผ่อน พบปะสังสรรค์กัน
บนเกาะฮ่องกงจะมีรถราง เป็นยานพาหนะที่เก่าแก่ของฮ่องกง หน้าตาคล้ายกับรถเมล์แต่วิ่งบนราง มีระบบไฟฟ้าอยู่เหนือตัวรถ ผมคิดว่ารถรางในฮ่องกงมาจากการวางระบบขนส่งมวลชน สมัยที่อังกฤษยังปกครองเกาะฮ่องกง ใครอยากลองขึ้นรถรางหรือถ่ายรูปรถรางต้องมาที่ฝั่งเกาะฮ่องกงเท่านั้นนะครับ เกาะอื่นไม่มี
ระหว่างทางไป The Peak Tram เป็นทางขึ้นเขานิดๆ เจอกับรถ Big Bus Tours เป็นรถที่ให้บริการ City tour เกาะฮ่องกง เกาลูน ราคาจองในอินเตอร์เนตอยู่ที่คนละ 45 HKD เท่านั้น
จากสถานี Central ใช้เวลาเดินมา The Peak Tram ประมาณ 10 นาที เรามาอยู่หน้าที่ขายตั๋วประมาณ 5 โมงเย็น คนเริ่มมากันเยอะแล้ว ระหว่างต่อแถวมีตากล้องของ The Peak มาขอถ่ายรูปเรา เรารู้อยู่แล้วว่าเดี๋ยวเค้าก็เอารูปไปล้างใส่กรอบแล้วมาขายเรา เลยบอกว่าไม่เอาๆ เค้าก็บอกว่าถ่ายเล่นๆ ไม่ซีเรียส ก็เลยปล่อยให้ถ่ายไป
ค่ารถราง (The Peak Tram) ไปกลับ อยู่ที่คนละ 40 HKD จะใช้เงินสดซื้อตั๋วที่ทางเข้าก็ได้ หรือจะได้ Octopus จ่ายที่ทางเข้าด้านในก็ได้ แต่ไม่ว่าจะจ่ายเงินด้วยวิธีไหนก็ต้องต่อแถวซื้อตั๋วทางด้านนอกให้ดูลำบาก แถวยาวๆ เข้าไว้
แต่ถ้าใครไม่อยากต่อแถวยาวก็มีอีกทางเลือกหนึ่งคือซื้อตั๋วรถราง + มาดามทุสโซ ค่าตั๋วก็จะแพงหน่อยแต่คิวสั้น เงินซื้อความสะดวกได้ครับ
พอผ่านคิวที่ซื้อตั๋วเข้ามาด้านในได้ ใช่ว่าทุกอย่างจะจบ ต้องเจอกับฝูงชนมหาศาลมารอขึ้นรถ
ยืนได้สักพักนึงก็มีพนักงานของ The Peak ที่ถ่ายรูปคู่เราที่หน้าทางเข้า เอารูปที่ล้างแล้วมาขาย รูปถ่ายออกมาสวยดีครับ แต่ราคาแพงไปหน่อยเราก็บอกว่าไม่เอา เค้าก็ไม่ตื้อ แล้วก็เดินไปขายรูปให้คนอื่นต่อ
ตั้งแต่รอซื้อตั๋วจนถึงได้ขึ้นรถราง ผมใช้เวลาประมาณ 30 นาที ก็ถือว่าไม่นานมากครับ ถ้ามาช่วง 6 โมงเย็นอาจต้องรอคิวนานเป็นชั่วโมง
การเลือกที่นั่งบนรถรางนั้นถ้าเป็นไปได้ให้เลือกนั่งทางด้านขวาจะเห็นวิวทะเลและตึกสูง
รถรางวิ่งขึ้นเขาตามแนวตรงใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็มาถึงด้านบน The Peak ระหว่างทางขึ้นเราเจอกับหมอกที่หนามาก ทำใจมาแล้วว่าอาจไม่ได้เห็นวิวอะไร
แวะถ่ายรูปที่มาดามทุสโซ แต่ไม่ได้เข้าไปชมด้านใน แอบเสียดายค่าบัตร ผู้หญิงที่ยืนอยู่ด้านหน้าเป็นหุ่นขี้ผึ้งนะครับ
มาครั้งนี้ผมไม่ได้ตรงขึ้นไปชมวิวที่ Sky Terrace 428 เนื่องจากหมอกหนา ขึ้นไปก็เหมือนเสียตังค์ไปฟรีๆ อีก 30 HKD เพื่อไปชมทะเลหมอก เลยขอชมวิวที่เก๋งจีน ที่อยู่ด้านนอกแทนดีกว่า
หมอกหนาจริงๆ ครับ ขาวโพลนไปหมด ยิ่งอยู่นานยิ่งรู้สึกว่าหมอกหนาขึ้นเรื่อยๆ ก็ฝากเอาไว้เป็นประสบการณ์นะครับ ถ้าหมอกหนาแบบนี้ แบบที่ว่ามองขึ้นไปที่ยอดตึกแล้วมองไม่เห็น หมอกบังหมด แบบนี้ไม่ควรขึ้น The Peak ไม่ควรรอชม Symphony of Light เพราะจะไม่เห็นอะไร
ในรูปล่างเป็น The Peak tower เป็นที่ชอปปิ้ง ซื้อของฝาก ส่วนด้านบนอาคารที่เห็นเป็นรูปถ้วยเป็น Sky Terrace 428 จุดชมวิว The Peak แบบ 360 องศา ในวันที่อากาศดีๆ แนะนำให้เสียตังค์ขึ้นไปชมวิวครับ
ร้านค้าใน The Peak tower
The Peak Galleria เป็นอาคารที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับ The Peak tower ก็เป็นห้าง ร้านอาหาร ขายของฝาก
มา The Peak ครั้งนี้เสียดายเวลามากๆ ไม่ได้อะไรกลับไปเลย เราอยู่ด้านบนแป๊ปเดียวก็ต่อคิวนั่งรถรางกลับด้านล่างเลย ขาลงนี่รอคิวไม่นานเท่าไหร่ครับ
ลงมาถึงสถานี The Peak Tram ด้านลง เดินย้อนกลับไปทางสถานี Central ผ่านโบสถ์เซนต์จอห์น (St.John’s Cathedral) โบสถ์เก่าประจำย่าน Central
ที่สวนสาธารณะข้างสถานี Central กลุ่มผู้ชุมนุมหาย กลับไปเกือบหมดแล้วครับ เหลือเพียงแต่แม่บ้านชาวฟิลิปปินส์ที่ตั้งวงนั่งเล่น กินข้าวกันอยู่
เผลอแป๊ปเดียวเกือบหมดไปแล้วอีกวัน วันนี้เราทานข้าวแถวๆ โรงแรม เป็นร้านอาหารญี่ปุ่น ไม่ได้ถ่ายรูปมาอีกเช่นเคย เนื่องจากหิวครับ ชามะนาวที่นี่เหมือนกับร้านเมื่อวานเลยฝานเลมอนใส่ในชาให้เราใช้ช้อนกระทุ้งให้น้ำออกมาเอง มื้อนี้หมดไป 86 HKD อร่อยแล้วก็ไม่แพงครับ
กลับกลับเข้าโรงแรม Harbour แวะซื้อเบียร์กินให้หลับสบายซะหน่อย ราคาเบียร์ที่ฮ่องกงถูกกว่าบ้านเรานิดหน่อยอย่างเช่น Carlberg ขวดนี้ ราคา 14.9 HKD ซื้อคู่มีลดราคาอีกนะครับ แต่เลย์ซองเล็กแพงมาก ราคา 6 HKD ที่ซองบอกว่านำเข้ามาจากประเทศอเมริกา แปลกใจว่าไปนำเข้ามาทำไมตั้งไกล ไม่นำเข้ามาจากไทยละ
วันนี้กลับถึงห้องแต่หัวค่ำเอาเสื้อผ้าที่ซื้อจาก Lady market และ Citygate outlet มาเปิดถุงโชว์หน่อย ได้มา 7 ตัวครับยี่ห้อ Bossini, Giordano และ edc by esprit ที่ฮ่องกงยี่ห้อ Bossini ถูกกว่าในไทยประมาณ 30-40% ได้
เสื่อ Bossini สีชมพูตัวละ 60 HKD, Bossini ตัวขาว – แดง 68 HKD
edc by esprit ตัวละ 69,? 79 HKD ประมาณตัวละ 200-300 กว่าบาท !!! ถูกมาก
เปิดกระเป๋าเอาตังค์มานับเหลืออยู่ 1,670 + 200 (มัดจำ Key card) = 1,870 HKD สงสัยทริปนี้เงินเหลือต้องแลกคืนอีกตามเคย
วันที่ 3 [ฮ่องกง]
เช้านี้เราทานอาหารเช้าที่โรงแรมเหมือนเดิม ทานข้าวเสร็จก็ Check-out ห้องเลย ได้มัดจำคืนมา 200 HKD และก็ขอฝากกระเป๋าเค้าไว้ที่โรงแรม เที่ยวเสร็จแล้วค่อยมาเอากระเป๋า บริการฝากกระเป๋าเป็นบริการฟรี ที่มีให้ทุกโรงแรมครับ เป็นเรื่องปกติ
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่อยู่ในฮ่องกงแล้วครับ โปรแกรมวันนี้ก็เที่ยวแบบเบาๆ ตอนเช้าไปที่ Repulse Bay ดูทะเลฮ่องกง, วัดเจ้าแม่กวนอิม (Kwun Yam Temple) ตอนบ่ายไปวัดหวังต้าเซียน (Wong Tai Sin temple), สำนักนางชี (Chi Lin Nunnery), สวนนานเหลียน (Nan Lian garden)
การเิดินทางมาที่ Repulse Bay จะต้องนั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานี Central ออกทางออก A ข้ามสะพานลอยไปที่ใต้ตึก Exchange square ที่ใต้ตึกจะเป็นท่ารถเมล์
สำหรับรถเมล์สายที่ไป Repulse Bay ไปได้หลายสายครับ สายที่ไปก็มี 260, 6X, 66, 6 ทั้ง 4 สายนี้รอขึ้นรถที่ป้ายเดียวกันหมด
การขึ้นรถเมล์ที่ฮ่องกงให้แตะบัตร Octopus ที่ข้างคนขับ และแตะอีกครั้งตอนลง ถ้าเราไม่แตะตอนลงด้วยรถเมล์จะตัดเงินไปเท่ากับระยะทางสุดสาย
รอรถเมล์ไม่นาน สาย 6 ก็มา รถเมล์คันนี้ดีมากเลยครับมีบอกว่าจอดที่ป้ายไหนบ้าง เป็นป้ายเลขที่เท่าไหร่ ตอนนี้วิ่งถึงป้ายไหนแล้ว Repulse Bay Beach จะอยู่ที่ป้าย 20 ครับ
ระหว่างทางไป Repulse Bay ทางจะโค้งไปโค้งมา ขึ้นเนิน ลงเนิน ใครนั่งรถไม่บ่อยผมว่ามีสิทธิ์เมารถได้ครับ รถใช้เวลาประมาณ 40 นาทีก็ถึงหาด Repulse Bay สังเกตง่ายๆ ครับตรงข้ามกับหาด Repulse Bay จะมีตึกขนาดใหญ่ชื่อตึก The Repulse Bay ตึกนี้จะมีรูอยู่ที่ตัวตึก น่าจะเป็นเรื่องของฮวงจุ้ย ถ้านั่งรถเมล์แล้วเจอตึกนี้อยู่ข้างหน้ากดกริ่งลงได้เลยครับ
รถเมล์จะจอดที่หน้าตึก The Repulse Bay เราจะต้องข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม แล้วก็จะเจอทางลงไปทะเลหาด Repulse Bay
ร้านขายของริมหาด Repulse Bay มีตู้ Locker ฝากของสำหรับคนที่จะเล่นน้ำ
ที่เห็นกลุ่มคนเยอะๆ นั่นทัวร์มาลงครับ เค้ามาถ่ายรูปกันแปปเดียวก็ไป มองไปไม่เห็นคนมาเล่นน้ำเลย คงเป็นเพราะว่าช่วงนี้อากาศยังหนาวอยู่ก็เลยไม่มีคนมาเล่นน้ำ มาอาบแดด ถ้ามาตอนหน้าร้อนจะเห็นคนเต็มหาดเลย เดี๋ยวเราลองเดินสำรวจหาดกันก่อน
หาด Repulse Bay เป็นชายหาดที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในฮ่องกง เกิดจากการถมทะเลทำเป็นหาด ทรายที่นำมาถมหาดเป็นทรายที่ซื้อจากประเทศไทย และ เวียดนาม บริเวณหาดสะอาดมาก น้ำใสพอประมาณ เท่าที่เดินดูไม่เจอขยะซักชิ้น ทั้งในทะเล และที่ทราย ทะเลไม่ค่อยมีคลื่น สามารถเล่นน้ำได้ มี Guard คอยดูแลความปลอดภัยอยู่ที่หาด ทรายที่หาดสีออกน้ำตาล เม็ดไม่ค่อยละเอียด มองไปที่ทรายไม่เจอเปลือกหอย หรือสิ่งมีชีวิตใดๆ เลย
เรือกู้ชีพหาด Repulse Bay
ถ้าเรายืนให้ทางขวามือเราเป็นทะเล แล้วเดินตรงไปเรื่อยๆก็จะเจอกับวัดเจ้าแม่กวนอิม (Kwun Yam Temple) ที่ตั้งอยู่ริมทะเล
วัดเจ้าแม่กวนอิม เป็นวัดที่มีชื่อเสียงวัดหนึ่งในฮ่องกง วัดนี้จะเด่นดังเรื่องการขอพรครับ บางคู่ที่มีลูกยากก็มาขอลูกกัน
รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมขนาดใหญ่ หันหน้าไปทางทะเล
สะพานสีแดงด้านบนมีเขียนไว้ว่าข้ามสะพานแล้วจะมีอายุยืนยาวขึ้น 3 ปี เดินได้ครั้งเดียว เดินไปแล้วห้ามกลับทางเดิม
รูปปั้นเทพเจ้าสังเกตที่พุงนะครับ คนมาลูบจนสีลอกดำไปเลย
ปลามังกรตัวสีเหลืองในรูปด้านบน มีความเชื่อกันว่าถ้าโยนเหรียญเข้าปากปลา แล้วขอพร พรนั้นจะเป็นจริง สังเกตที่ปากปลานะครับ สีลอกไปเยอะเลย
ที่ตั้งของ Repulse Bay จะอยู่นอกเมือง บ้านแถวนี้น่าอยู่มากครับ ไม่แออัดเหมือนแถวมงก๊ก มีทะเล สนามเด็กเล่น อากาศดี
ห้องอาบน้ำที่หาด Repulse Bay อาบได้ฟรีครับ ห้องน้ำก็เข้าฟรี มีอยู่หลายที่มาก ถ้าเป็นบ้านเราก็อาบน้ำ 20 บาท ห้องน้ำ 5 บาท
ตอนนี้เสร็จภารกิจที่หาด Repulse Bay แล้วกำลังจะนั่งรถเมล์กลับและไปเที่ยวต่อที่วัดหวังต้าเซียน ระหว่างทางก็ผ่านกับ Broker ขายอสังหาริมทรัพย์ของฮ่องกง เลยเข้าไปยืนดูหน่อยว่าที่อยู่เค้าแพงขนาดไหน เอาราคาห้องชุดแล้วกัน หน่วยของพื้นที่เค้าว่ากันเป็นตารางฟุตครับ ไม่ได้เป็นตารางเมตร หรือตารางวาแบบบ้านเรา ห้องขนาด 1,772 ตารางฟุต หรือ 159.48 ตารางเมตรเห็นวิวทะเล ราคาอยู่ที่ 25 ล้าน HKD หรือประมาณ 100 ล้านบาท แพงมากๆ ครับ
เรารอรถเมล์ที่ฝั่ง Repulse Bay สายที่ไปสถานีรถไฟฟ้า Central ก็เป็นสายเดียวกับขามาแหล่ะครับ 260, 6X, 66, 6
ระหว่างทางขากลับเห็นวิวสวยกว่าขาไปมีทั้งภูเขา ทะเล ท่าเรือยอร์ช
เนื่องจากว่าเราจะต่อรถไฟฟ้าไปฝั่งเกาลูน เลยลงรถที่สถานีรถไฟฟ้า Admiralty แทน
ตึกที่เห็นในรูปด้านบนชื่อตึก Lippo centre เป็นตึกที่มีรูปร่างภายนอกแตกต่างจากตึกอื่น มองดูแล้วจะคล้ายกับหมีโคอะลาเกาะอยู่ข้างตึกซ้อนกันไปจนถึงยอดตึก
จากสถานีรถไฟฟ้า MTR Admiralty เรานั่งไปลงที่สถานี MTR Wong Tai Sin เพื่อที่จะไปวัดหวังต้าเซียน เราออกจากสถานีที่ทางออก B3 ก็เจอกับวัดหวังต้าเซียนเลย
วัดหวังต้าเซียน หรือบางคนก็ออกเสียงว่า วัดหว่องไทซิน เป็นวัดที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1921 เป็นวัดของลัทธิเต๋า สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบจีน ที่มาของวัดหวังต้าเซียน มาจากชื่อเทพวัดหวังต้าเซียน
หน้าทางเข้าวัด มุมนี้ไม่เคยว่างจากผู้คน ทัวร์จีนมาลูกทัวร์มาลงอยู่ตลอด
เทพเจ้า
รูปปั้นเทพเจ้า มีใบหน้าเป็นรูปสัตว์ชนิดต่างๆ เช่นแพะ, ม้า, มังกร, กระต่าย
นักท่องเที่ยวที่มาที่วัดนิยมที่จะมาเสี่ยงเซียมซีกัน ที่ลานเสี่ยงเซียมซีประดับด้วยโคมไฟแบบจีนสีเหลือง – สีแดง
กระถางธูปสำหรับจุดไหว้
รูปล่าง ออฟฟิตวัดหวังต้าเซียน
รูปล่าง บ่อน้ำพุ ติดป้ายไว้ว่าห้ามเดินวน ห้ามโยนเหรียญเข้าไป
ชมวัดหวังต้าเซียนจนเต็มอิ่มแล้วก็เดินย้อนกลับไปขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานี MTR Wong Tai Sin
สถานี MTR Wong Tai Sin จะมีห้างอยู่ห้างนึงชื่อห้าง Lung Cheung Plaza ตอนแรกว่าจะแวะทานข้าวในนี้ แต่ยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ เลยมุ่งหน้าไปสถานีต่อไป Diamond Hill ดีกว่า
2 จุดสุดท้ายที่เราจะพาเที่ยวในทริปนี้คือ สวนนานเหลียน (Nan Lian garden) และ สำนักนางชี (Chi Lin Nunnery) การเดินทางมายัง 2 ที่นี้ให้ออกที่ทางออก C2 ของสถานี Diamond Hill แล้วเดินตามป้าย Chi Lin Nunnery ไปเรื่อยๆ สวนนานเหลียนและสำนักนางชีจะอยู่ตรงข้ามกันผมเลือกเข้าชมสวนนานเหลียนก่อนครับ
สวนนานเหลียน (Nan Lian garden) เป็นสวนสาธารณะที่ตกแต่งแบบจีน และญี่ปุ่นผสมกัน เข้าชมได้ฟรี ในสวนจะมีสิ่งก่อสร้างที่ทำจากไม้แทบทั้งหมด มีบ่อปลาคาร์ฟและสะพานไม้โค้งตามแบบฉบับของสวนญี่ปุ่น
ก่อนจะเข้าชมสวนอ่านข้อห้ามที่ทางเข้ากันก่อนครับ ห้ามใช้ขาตั้งกล้องทุกชนิด ขาเล็กๆ ขนาด 1 ฟุตก็ห้ามนะครับเห็นคนโดนยามเตือนมาแล้ว, ห้ามปืนต้นไม้ ห้ามเหยียบย่ำสนาม, ห้ามให้อาหารปลา, ห้ามนำสัตว์เลี้ยงเข้ามา, ห้ามส่งเสียงดัง หลักๆ ก็มีเท่านี้ครับ
ภายในสวนมีต้นไม้ปลูกร่มรื่น ต้นไม้ทุกต้นเป็นระเบียบดีมากไม่มีต้นไม้เหี่ยวเฉาหรือกิ่งก้านหัก ทางเดินก็กว้างเดินได้สบายๆเลยครับ
ต้นไม้ดัดตระกูลบอนไซค่อนข้างเยอะ
ไฮไลต์ของสวนนานเหลียนอยู่ที่ศาลาสีทองกลางสวนล้อมรอบด้วยบ่อปลาคาร์ฟ
เราไม่สามารถเดินเข้าไปในศาลาสีทองได้นะครับ ชมได้แต่รอบๆ มองไปรอบๆ สวนนานเหลียนเห็นแต่ตึกสูงอยู่รอบๆ
สะพานสีแดงไว้เดินเข้าไปยังศาลา
บ่อปลาคาร์ฟ
ในสวนนานเหลียนจะมีร้านอาหารอยู่ด้วยครับ แต่น่าจะเป็นของว่างมากกว่า
เดินชมสวนนานเหลียนเสร็จไม่ต้องออกไปข้างนอกนะครับ ให้เดินขึ้นสะพานลอยมายังสำนักนางชี (Chi Lin Nunnery)
สำนักนางชี (Chi Lin Nunnery) เป็นศาสนสถานของศาสนาพุทธนิกายมหายาน เพิ่งจะสร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 2000 ที่ผ่านมา สิ่งก่อสร้างในสำนักนางชีจะใช้ไม้เป็นหลัก เป็นการก่อสร้างโดยไม่ใช้ตะปู ใช้เพียงเดือยยึด น่าจะใช้หลักการเดียวกันกับปราสาทสัจธรรมที่พัทยา
ภายในสำนักนางชีจะมีสระบัวอยู่หลายสระ ในบางห้องจะมีพระพุทธรูปอยู่ภายใน แต่เค้าไม่ให้ถ่ายรูปภายในห้องนะครับ เราเลยมีแต่รูปบรรยากาศรอบๆ
เดินชมสำนักนางชีเสร็จ หิวข้าวพอดี จำได้ว่าที่สถานี Diamond Hill มีห้าง Plaza Holywood อยู่เดี๋ยวเราไปหาอะไรทานข้างในกันดีกว่าครับ
เข้ามาข้างในห้องเจอกับศูนย์อาหาร foodrepublic ผมค่อนข้างชอบทานข้าวที่ foodrepublic เค้ามีอาหารหลากหลายดีครับ ถูกปากคนไทยอย่างเราด้วย
ผมซื้อข้าวหมูอบมาทาน ในชุดนี้มีน้ำซุปและผักลวกให้ด้วย
ส่วนจานด้านล่างได้มาจากร้าน Vietnam cuisine คนขายเป็นคนไทยครับ เลยถามเค้าว่ามีอะไรเผ็ดๆ บ้างเค้าเลยแนะนำโป๊ะแตกเส้นเวียดนามชามนี้มาให้
วันสุดท้ายของการเดินทางแล้ว วันนี้ขอสบายๆ ก่อนกลับ โปรแกรมเที่ยวเราก็หมดเพียงเท่านี้ครับ เรานั่งรถไฟฟ้าไปรับกระเป๋าที่ฝากไว้ที่ Harbour hotel
ขากลับไปสนามบินเราเลือกที่จะนั่งรถไฟฟ้าไปที่สถานี Tung Chung แล้วไปเดินเล่นฆ่าเวลา และซื้อของฝากเล็กๆ น้อยที่ Taste supermarket ใน Citygate Outlets
ถ้าใครคิดจะชอปปิ้งเป็นเรื่องเป็นราวที่ Taste supermarket ควรเตรียมถุงผ้าไปด้วยนะครับ ปกติแล้วเวลาซื้อของเค้าจะไม่ใส่ถุงให้ ถ้าเราต้องการให้เค้าใส่ถุง จะคิดค่าถุงพลาสติกในละ 0.5 HKD เป็นนโยบายเรื่องสิ่งแวดล้อมของฮ่องกงครับ
พอใกล้ได้เวลาเราก็ลากกระเป๋ามาขึ้นรถที่ท่ารถข้างๆ Citygate Outlets สายที่ไปสนามบินจะเป็นสาย S1 ป้ายรถสายนี้จะอยู่ป้ายแรกเลย หาง่ายครับ
รถสาย S1 จะเป็นรถที่รับ/ส่ง สนามบินโดยเฉพาะมีที่วางกระเป๋าเดินทางที่ชั้นล่าง ส่วนตัวเราจะนั่งชั้นบนหรือชั้นล่างก็ได้ รถสุดสายที่สนามบินไม่ต้องกลัวว่าจะลงไม่ถูกป้าย
หลังจากที่รถจอดที่สนามบินแล้วให้มองหาลิฟต์ กดไปยังชั้น Departures น่าจะประมาณชั้น 3 ลิฟต์ตัวนี้มีประตูลิฟต์ 2 ด้านนะครับ เข้าด้านหน้า ออกด้านหลัง ถ้าถึงชั้น 3 แล้วประตูลิฟต์ไม่เปิด ลองกลับหลังหันดูครับ
Counter Air asia ของสนามบินฮ่องกงจะอยู่ที่ Terminal 2 ใครที่ทำ Web check in มาแล้วก็โหลดกระเป๋าที่ช่อง Baggage drop ได้เลยครับ แถวสั้นกว่าแถวปกติ หรือถ้าไม่มีกระเป๋าให้โหลดก็ต้องต่อแถว Counter Air asia เพราะว่าเค้าจะต้องเปลี่ยน Boarding pass กระดาษ A4 ที่เรา print มาให้เป็นตั๋วแบบใหม่เสียก่อน
เราซื้อน้ำหนักกระเป๋ามา 20 กิโลกรัม ชั่งได้ 17 กิโลกรัม
ตั๋ว Air asia ที่ได้มาใหม่
ใครที่คิดว่าจะไม่มาฮ่องกงอีกในเร็วๆ นี้ให้ไป refund บัตร Octopus ได้ที่ขายบัตร Terminal 1 นะครับ แต่ของผมเก็บไว้ใช้ครั้งหน้าต่อครับ ในการ refund บัตร Octopus เราจะได้เงินในบัตร + มัดจำ 50 HKD คืน แต่ถ้าเราคืนบัตรภายใน 3 เดือน นับจากวันซื้อจะถูกหักไป 7 HKD หรือประมาณ 28 บาทครับ ฉะนั้นบัตรนี้ไม่ควรยืมกันนะครับ เสียเปล่าไป 28 บาทเอง ถ้ายืมคนอื่นเฉพาะค่าส่งไป-กลับ ก็เกิน 28 บาทแล้ว
หลังจากโหลดกระเป๋าเสร็จก็เดินเข้าด่าน ตม. ขาออกฮ่องกง เวลาเราเหลือค่อนข้างเยอะครับ ไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันดีกว่า
ที่สนามบินฮ่องกงมีร้านอาหารราคาไม่แพงครับ อย่างร้านนี้ c.d.c ข้าวหมู BBQ + ชา ชุดละ 34 HKD เองถูกกว่าในสนามบินสุวรรณภูมิอีก ทั้งที่ค่าครองชีพเค้าแพงกว่า
คนเข้าคิวซื้อกันเยอะ
ของผมจานนี้ครับ เหมือนหมูในน้ำสปาเกตตี้ราดข้าว มีไข่ดาวโป๊ะมาให้ด้วย + ของหวานคล้ายๆ ถั่วดำ ให้เยอะและอร่อยดีครับ? 38 HKD เท่านั้น
จานนี้ของแฟนผม ข้าวหมู BBQ + ชา ชุดละ 34 HKD
บริเวณที่ทานอาหาร
ทานอาหารเสร็จ ไปนั่งๆ นอนๆ รอที่ Gate ดีกว่า ที่จอบอกว่า FD 3719 ขึ้นเครื่องที่ Gate 33 เดินไปเดินมาปรากฎว่า Gate 33 ต้องนั่งรถไฟฟ้าไปอีก Terminal นึง แต่ก็รอไม่นานครับ เห็นเค้าติดป้ายว่ารถไฟฟ้ามาทุก 2-3 นาที
การขึ้นเครื่องกลับโดยเฉพาะสนามบินที่เราไม่คุ้นเคย อย่าประมาทดูของเพลิน สนามบินบางแห่งกว้าง แต่ละ Gate อยู่ไกลกัน บางคนตกเครื่องเพราะดูของใน Duty free เพลินไปหน่อยก็มีครับ
บนรถไฟฟ้า
มาถึงขั้นตอนสุดท้ายของทริปนี้แล้วครับ คือขึ้นเครื่องกลับ ทริปนี้สนุกมากได้เดินทาง 2 ที่ มาเก๊า และ ฮ่องกง อากาศก็เย็นสบาย ถ้าใครจะมาฮ่องกง – มาเก๊า แนะนำให้มาช่วงหน้าหนาวนะครับ อากาศดีจริงๆ เดินแล้วไม่เหนื่อยไม่เหนียวตัว คนฮ่องกงก็แต่งตัวสวย แฟชั่นกันเต็มที่
สำหรับทริปนี้ก็ขอจบรีวิวแต่เพียง เท่านี้ครับ ทริปหน้าเจอกันใหม่ที่ กระบี่ ไปชมทะเลสวยๆ น้ำใสๆ กัน
ใครมีคำถาม ข้อสงสัยก็ถามมาที่ Comment ด้านล่างได้เลยครับ ยินดีที่จะตอบให้ครับ
ค่าใช้จ่ายทริปมาเก๊า – ฮ่องกง 4 วัน 3 คืน 2 คน
– ค่าตั๋วเครื่องบิน Air asia 8,772 บาท (โปร Big sale)
– ค่าเรือ Ferry สนามบินฮ่องกง –> มาเก๊า 233? x 2 HKD ประมาณ 1,864 บาท
– ค่าเรือ Ferry มาเก๊า –> ฮ่องกง? 152? x 2 HKD ประมาณ 1,216 บาท
– ค่าอาหาร 4,800 บาท
– ค่าโรงแรม Ole London 1 คืน 3,273 บาท
– ค่าโรงแรม Harbour 2 คืน 6,170 บาท
– ค่าเดินทาง + นองปิง + The Peak tram 2,200 บาท
– ชอปปิ้ง + ซื้อของฝาก 3,000 บาท
คำนวณอัตราแลกเปลี่ยนที่ 1 HKD = 4 THB
รวมค่าใช้จ่าย 31,295 บาท / 2 คน หรือเฉลี่ยคนละ 15,647.5 บาท
เที่ยวต่างประเทศ ไม่ง้อทัวร์
เซินเจิ้น | ฮ่องกง 1 | ฮ่องกง 2 | มาเก๊า |
มาเลเซีย | มะละกา | ชอปปิ้งในมาเลเซีย | Genting (เกนติ้ง) |
สิงคโปร์ 1 | USS & Sentosa | สิงคโปร์ 2 | บาหลี |
Link. เช็คราคา จองที่พัก Harbour Hotel
Post Views 12009
อยากทราบว่า ทั้งมาเก๊าและฮ่องกง มีfree wifi ทั่วเมืองมั้ยคะ หรือเราต้องเปิดจากเมืองไทยไปค่ะ
รบกวนขอคำแนะนำจองโรงแรมใน agoda ด้วยนะค่ะ ไม่เคยจองผ่านทางนี้เลยคะ กลัวว่าไปถึงโรงแรมแล้วจะไม่ได้เข้าพัก
ตอบคุณ May
– free wifi ในมาเก๊าและฮ่องกง มีหลายที่นะครับ ที่ผมเคยใช้ในมาเก๊าก็มีตรง Senado ส่วนในฮ่องกงเคยใช้ใน Citygate outlet แล้วเดี๋ยวนี้ในโรงแรมก็มี wifi ให้ใช้ฟรี
– เรื่องจองโรงแรมก็จองตามปกติครับ แต่ให้เมลไปถามโรงแรมว่ามี booking นี้ไหม เพื่อความสบายใจ จากที่ผมจองกับ agoda ก็ไม่เคยมีปัญหานะครับ
รบกวนถามอีกครั้งค่ะ พอดีจะไปกันเองแค่ผู้หญิง2คน เมืองอันตรายมั้ยค่ะ ขอบคุณล่วงหน้ามากๆเลยค่ะ
ตอบคุณ May
ฮ่องกง มาเก๊า ไม่อันตรายนะครับ ผู้หญิง 2 คนก็ไปได้สบายๆ ครับ
สอบถามหน่อยครับ HOTEL MK ผมจองห้อง adjoining Standard double bed 2 ห้อง
ส่วนใหญ่ ขนาดความกว้างของห้องเท่ากันไหมครับ ในหนึ่งชั้น หรือมี Zone ที่กว้าง Zone ที่แคบด้วย(เช่น ห้องหัวมุม เป็นต้น)
จะได้ Request กับทางโรงแรม เพิ่มเติมน่ะครับ (ถ้าทำได้)
ขอบคุณครับ
ตอบคุณ kasab
HOTEL MK จากที่ผมไปห้องที่ติดกับห้องมุมจะแคบนะครับ หรือห้องมุมกว้างสุดก็ไม่รู้ แต่ห้องมุมนี่ก็ประมาณ 12 ตรม เท่านั้น เฉพาะเตียงก็เกือบจะเต็มห้องแล้ว ว่าแต่ไม่สนใจ HARBOUR HOTEL ทำเลใกล้เคียงกัน แต่กว้างกว่าเยอะ ราคาก็ไม่ต่างกันมาก
แบบว่าจองไปเรียบร้อยแล้วครับ แล้วพึ่งมาเห็นของ admin รีวิว ตอนหลังพอดี ว่า HARBOUR HOTEL ห้องกว้างกว่า(ตอนผมดูราคา ถูกกว่านิดๆด้วยครับ) เลยไม่ทันซะแล้ว แต่โอกาสหน้าคงจะลองดูครับ
ทางที่พัก พึ่งเมลกลับมาเมื่อเช้า ว่าได้รับ booking ของผมแล้ว (ผมไปเดือนกันยายนครับ จองของ airasiago รวมที่พักกับตัวเครื่องบินด้วย
ถ้าสามคนนี่ พอจะยัดเข้าไปห้องเดียวไหวไหมครับ แบบว่าคนนึงนอนกับพื้นก็ได้
ตอบคุณ kasab
ห้อง adjoining Standard double bed หน้าตาเป็นยังไงเหรอครับ ผมลองเข้าเวบของโรงแรม และ agoda ก็ไม่มีรูปห้องนี้ มีแต่ Standard Double ถ้าจะทำให้นอน 3 คนก็คงได้ครับ แต่อาจจะอึดอัดนิดนึงครับ
ผมก็ไม่แน่ใจเรื่องหน้าตานะครับ ตอนจองมันเขียน adjoining แต่ตอนโรงแรมส่งเมลมาบอกว่าเป็น Standard double bed น่าจะเป็น อย่างที่คุณ ADMIN ว่านะครับ คือ Standard Double คือ เตียงคู่ 1 เตียง(หรือเปล่า ตามที่ผมเข้าใจ) หรือเป็นเตียงเดี่ยวลากมาติดกันครับ ? เพราะเห็นในรูป จะเป็นสองเตียงบางห้อง มีช่องว่างตรงกลาง ในขณะที่บางห้องเป็นสองเตียงแต่ลากมาติดกัน
ผมกะจะนอนตรงช่องว่างที่มีน่ะครับ ถ้าพอจะมีก็โอเคครับ
แต่ต้องเสียค่าประกันห้องๆละ 500 ดอลล่าฮ่องกง ใช่ไหมครับ
ตอบคุณ kasab
Standard Double คือเตียงใหญ่ 1 เตียงครับ มีช่องว่างข้างเตียงนิดนึง พอนอนได้ครับ
ส่วนค่ามัดจำก็ 500 hkd ครับ
ขอบคุณ admin มากครับ ผมไปเช็คมาแล้ว ในเว็บ airasiago ตอนจอง มันมีแค่ห้อง Standard Double (แต่ใช้รูปของSuperior Twin) ผมเลยโดนหลอกเข้าเต็มเปา คิดว่า มันมี สองเตียง
กับอีกห้อง คือ Superior Room
ผมเลยเลือกแบบแรก แต่ขอบคุณมากๆ ครับ
ถ้าไม่เป็นการรบกวน หากผมมีคำถามจะมาถามใหม่นะครับ
review ของ admin เป็นประโยชน์มาก สำหรับคนเดินทาง ยังไงก็จะติดตามตอนต่อๆไปนะครับ
ตอบคุณ kasab
ไม่ทราบว่าจอง 2 ห้อง คนไปพักกี่คนครับ 2+3 หรือเปล่าครับ หากมีข้อสงสัยตรงไหนถามได้เลยครับ ผมสนับสนุนให้ไปเที่ยวกันเองครับ มันสนุกและได้รสชาติกว่าไปทัวร์ ค่าใช้จ่ายก็ถูกกว่า
ห้องนึง 3 อีกห้องนึง 1 คน ครับ admin
ปกติถ้าผมเที่ยวเอง ก็ชอบไปเองแบบ admin ครับ ไม่ไปกับทัวร์ แต่พอมากับที่บ้าน มีผู้ใหญ่ด้วย เขาก็ชอบไปทัวร์มากกว่า
คราวนี้ เลยลองพาเขาไป แบบไปเองบ้างครับ อยากประหยัดค่าใช้จ่ายด้วย ก็สนุกดีครับ เริ่มจากหาข้อมูล จนมาเจอ blog ของ admin
พระใหญ่ที่เกาะลันตา พอนั่งกระเช้าไปนี่ ต้องขึ้นบันได อีกเกือบ 300 ขั้น อยู่ดีใช่ไหมครับ
อยากพาพ่อไปครับ แต่กลัวแกจะปวดเข่าขึ้นบันไดไม่ไหว
ตอบคุณ kasab
พระใหญ่ยังไงก็ต้องขึ้นบันได 268 ขั้นครับ ค่อยๆ ขึ้นได้ครับ ผมเห็นผู้สูงอายุเดินขึ้นกันเยอะเลย จำนวนขั้นบันไดผมว่าน้อยกว่าพระธาตุดอยสุเทพฯ บ้านเรา
ได้เลยครับ คุณ Admin ขอบคุณมาก จะได้บอกพ่อไว้ก่อน แต่ผมเห็นจากในรูปสวยมากครับ น่าไปจริงๆ
ไม่รู้ใช่ฉากที่เคยถ่ายทำเรื่อง Internal affairs ภาค 3 หรือเปล่า
ผมเคยไปฮ่องกงนานแล้วครับ ตอนนั้นไปกับทัวร์ มีไปวัดเจ้าแม่กวนอิม และเดินแถบ จิม ซา จุ่ย นี่แหละครับ
คราวนี้น่าจะไป ดิสนีย์ แลนด์ 1 วัน ครับ มีอะไรแนะนำไหมครับ
กำลังดูช่วงเวลาที่เหมาะ ว่าจะไปเที่ยวตามรอย แอดมิน หน่อยค่ะ
ข้อมูลดีมากๆค่ะ
ครูแนน
ตอบครูแนน
ถ้าให้ดีควรไปช่วงหน้าหนาวครับ พ.ย. – มี.ค. จะเห็นคนฮ่องกงแต่งชุดกันสวยๆ ฮ่องกงเที่ยวง่ายมากๆ ครับครูแนน รถไฟฟ้าทั่วถึง รถเมล์ก็ขึ้นง่าย อาหารก็อร่อย ของชอปปิ้งก็เยอะ เสียอย่างเดียวที่พักแพงไปหน่อย
สวัสดีครับ ปีนึงแล้วพอดีๆ พึ่งมาเห็นอันนี้ กำลังจะพาครอบครัวไปพอดี
อยากสอบถามเล็กน้อยครับ ว่าถ้าไม่ซื้อทัวร์แล้วไปเองจะลำบากไม๊ครับพอดีมีผู้ใหญ่อายุ70(แต่เดินได้ปกติอาจไม่ขึ้นชมถึงพระใหญ่) จะลำบากไม๊ครับ
แล้วมีทางไหนให้ติดต่อคุณได้มั้ยครับคุนแอดมิน พอดีอยากสอบถาม อยากเจริญรอยตามทริบนี้เลย 🙂
ขอบคุณนะครับ
ตอบคุณ NUTT
ฮ่องกงไปเองไม่ลำบากครับ ถ้าผู้สูงอายุเดินได้ปกติยิ่งสะดวกใหญ่เลยครับ ค่อยๆ เดินไป อารมณ์เหมือนเที่ยวในกรุงเทพฯ นะครับ ที่ไหนก็มีรถไฟฟ้าเข้าถึง
ถ้าสอบถามเรื่องเที่ยวก็ comment ต่อท้ายได้เลยครับเผื่อจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นด้วย หรือถ้าส่วนตัวก็ทางเมล emagtravel@gmail.com ครับ
สวัสดีค่ะ วางแผนว่าจะไปเที่ยวฮ่องกง ประมาณ พ.ย.ปี58นู้นค่ะ จะไปพักแถวไหนดีค่ะ ที่สะดวก หาของกินง่าย เพราะเอาลูกขวบกว่าๆไปด้วยค่ะ
ตอบคุณ bb
แนะนำที่พักตั้งแต่ MTR Mongkok ไปจนถึง MTR Tsim Tsa Tsui บริเวณนี้ทำเลดีนักท่องเที่ยวนิยมไปพักครับ
ลองดู 10 โรงแรมในฮ่องกง ที่คนไทยนิยมไปพัก เป็นไอเดียในการเลือกที่พักครับ
https://www.emagtravel.com/archive/10-popular-hotels-in-hongkong.html
รบกวนสอบถามเรื่องเดินทางกลับไทยค่ะ พอดีกลับด้วยสายการบินแอร์เอเชีย เราต้องเช็คอินที่ terminal ไหนค่ะ 1 หรือ 2 และเมื่อเช็คอินเรียบร้อยแล้วต้องขึนเครื่องที่ terminal ไหนค่ะ
ตอบคุณ Bef
ในรีวิวมีบอกไว้แล้วครับ
Boarding pass กระดาษ A4 ที่เรา print มา << ตอนขากลับไป check in ที่ตู้ Kiosk แล้วปริ้นออกมาใช่ไหมค่ะ? แล้วที่ สนามบินดอนเมืองมีตู้แบบนี้ไหมค่ะ?
ตอบคุณ Gift
ไม่ใช่ครับ สำหรับการเดินทางระหว่างประเทศ ถึงแม้เราจะทำ Web check in มาแล้ว มี Boarding pass A4 แล้ว เราก็ต้องไป ตรวจเอกสาร & โหลดกระเป๋าที่ Counter อยู่ดี และเมื่อเราทำขั้นตอนนี้เสร็จเค้าจะพิมพ์ Boarding pass กระดาษแข็งให้เราใหม่ครับ
รถไฟฟ้าที่ฮ่องกงจะเหมือนที่บ้านเราเลยใช่ป่าวครับ ? แบบนั่งจากโรงแรมขาไปลงสถานีCentral-ส่วนขากลับก้จะขึ้นที่สถานีCentralแต่เป็นฝั่งตรงข้ามกับขาไปใช่ไหมคับ?
ตอบคุณ non
บางสถานี ไป – กลับ อยู่คนละชั้นกันก็มีครับ แนะนำให้ดูป้ายเป็นหลักครับ
คือใบ ตม ฮ่องกง ที่มันให้เราระบุนี้ เราต้องลงประเทศไทยใช่ไหมครับ ไม่ใช่มาเก๊าใช่ไหมที่เราข้ามฝั่งมา
ตอบคุณ Sakchai
ช่องไหนครับ